จะเลือกเอาเศรษฐกิจหรือสิ่งแวดล้อม?

จะเลือกเอาเศรษฐกิจหรือสิ่งแวดล้อม?

Walmart เป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีสาขาหลายประเทศ

 ความเด่นคือสินค้าราคาถูกและมีหลากชนิด (ประมาณ142,000)ให้เลือก ลูกค้าเข้าไปจับจ่ายครั้งเดียวก็ได้แทบทุกอย่าง เดินเข้าWalmart ซึ่งใช้เนื้อที่โดยประมาณ15,000 ตารางเมตรก็ได้สินค้าแทบครบถ้วน การเป็นผู้นำก็ตามมาด้วยคำติเตียนจากสังคมทั่วไปเรื่องผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเพราะสินค้าหลายอย่างที่ผู้บริโภคซื้อมาใช้ สร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อมมากเช่นวัสดุที่ใช้ในการบรรจุสินค้าซึ่งเป็นมลภาวะขยะมูลฝอยหรือรวมทั้งสารเคมีต่างๆที่ตกค้างในระบบนิเวศ

ผู้นำของ Walmart เมื่อปีค.ศ. 2005 ได้ปรับวิสัยทัศน์หันมาเน้นเรื่องการวางนโยบายระยะยาวด้วยความจริงใจทำเป็นตัวอย่าง ผู้บริหารระดับสูงได้ออกไปสัมผัสกับหลายกลุ่มเช่นเกษตรกรที่ทำน้ำหวานจากต้นเมเปิลซึ่งมีผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และขอคำแนะนำจากองค์กรหลายแห่งที่ต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแทนที่จะถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามแต่ตัดสินใจสร้างเป็นพันธมิตร

Walmart ได้ประกาศชัดเจนว่าภายในปีค.ศ. 2025 บริษัทจะต้องมีสินค้าและระบบจัดการที่ชัดเจนเรื่องการถนอมสิ่งแวดล้อมและอย่างน้อย 50% ของระบบทั้งหมดจะต้องสามารถทำให้ได้ ตั้งแต่การใช้พลังงานภายในร้านการขนส่งการจัดการเรื่องขยะและอื่นๆ นอกจากการสัญญาว่าจะประชาสัมพันธ์และเปิดข้อมูลเรื่องนี้อย่างชัดเจนกับผู้บริโภคแล้วจะเชิญชวนองค์กรสิ่งแวดล้อมต่างๆเข้ามาตรวจสอบด้วย

ผลของการตัดสินใจเลือกเดินหน้าเอาความอยู่รอดของเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความชัดเจนเรื่องการถนอมธรรมชาติทำให้บริษัท Walmart เริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคกว้างขึ้น (ระยะหนึ่งมีชุมชนหลายแห่งต่อต้านไม่ให้เปิดร้านหรือไม่เข้าใช้บริการเลยและมีการประท้วงเกิดขึ้นบ่อยครั้งราคาของหุ้นตกและมีแนวโน้มจะไปไม่รอด)

ปัจจุบันรูปโฉมของร้าน Walmart มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชัดเจน ล่าสุดคือเรื่องการเน้นแผนกตลาดสดที่ขายอาหารอินทรีย์ไร้สารพิษซึ่งราคาเริ่มถูกลงจากเดิมสินค้าพวกนี้ถือว่าเป็นสิ่งพิเศษซึ่งหากใครต้องการก็จะต้องจ่ายราคาแพงกว่าปกติ 30% ถึง 100% ราคาปัจจุบันของสินค้าแบบ”รักโลก”เริ่มไม่ต่างกับสินค้าที่ปลูกแบบอุตสาหกรรมเดิม

ที่น่าสนใจมากคือ Walmart มีประสบการณ์เรื่องการสร้างความร่วมมือปรับแนวทางกับผู้ผลิตสินค้าโดยตรงโดยให้การแนะนำและ”ส่งเสริมเชิงกดดัน”ให้ผู้ผลิตสินค้าต้องทำตามนโยบายของบริษัทโดยWalmartอ้างว่าผู้บริโภคส่งสัญญาณนั้นมาชัดเจน ซึ่งหากผู้ผลิตสินค้าไม่ปฏิบัติตามกระแสที่นิยมและไม่ปรับปรุงเรื่องการคำนวนถี่ถ้วนและถนอมเรื่องสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรแล้วผู้ผลิตสินค้าคนอื่นจะแทรกเข้ามาแทนเพราะว่า Walmart เองก็กลัวว่าตัวเองจะอยู่ไม่ได้

ปีค.ศ. 2012 บริษัทที่ผลิตสินค้าส่งให้ Walmart เริ่มได้รับบัตรคะแนนและมีการตรวจสอบอยู่เสมอว่าบริษัทใดได้คะแนนเรื่องสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ซึ่งทำให้เกิดความกระตือรือร้นและมีการแข่งขันกันเรื่องนี้ในหมู่ผู้ผลิตสินค้าทั้งในอเมริกาและในจีน(ประเมินว่าสินค้าเกินกว่า60% ของ Walmart ผลิตในประเทศจีน) จากการสอบถามเมื่อปีค.ศ. 2014 เป็นต้นมาบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของอเมริกาประมาณ 79% ระบุว่าพวกเขาเปลี่ยนนโยบายและวัฒนธรรมในการผลิตสินค้าให้มีความระมัดระวังเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเป็นเพราะความกดดันจาก Walmart

ผู้นำของ Walmart เปิดเผยเรื่องนี้ว่าโดยความจริงแล้วนั้นผู้บริโภคเองก็ยังสับสนอยู่และมักจะเลือกซื้อสินค้าที่ราคาถูกและดูดีด้วยสายตาตอนซื้อเสมอ โดยที่ยังไม่ละเอียดและแน่วแน่พอในการตัดสินใจในการซื้อ และหากราคาสินค้าแตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยผู้บริโภคก็ยังเลือกสินค้าที่มีราคาถูกไว้ก่อนโดยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าราคา แต่ผู้นำของ Walmart ตัดสินใจเสี่ยงที่จะเลือกเดินในทิศทางที่คิดว่าถูกต้องและในที่สุดก็เริ่มเห็นผลตอบแทนชัดเจน

นอกจากการเป็นผู้นำทางด้านขายสินค้าในห้างแล้ว Walmart เพิ่มการลงทุนทั้งสินค้าออนไลน์และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยเช่นเดียวกับบริษัทออนไลน์อื่นๆซึ่งมีสิ่งท้าทายคือเรื่องของการขนส่งและปัญหามลภาวะจากหีบห่อของสินค้าเช่นเดียวกับบริษัทออนไลน์อื่นๆ บริษัทต่างๆเหล่านี้ได้ประกาศนโยบายรณรงค์ให้ผู้บริโภคช่วยกันประหยัดโดยการเลือกวัสดุหีบห่อต่างๆและวิธีการขนส่งรวมทั้งการใช้วิธีวางสินค้าตามที่นัดหมายในชุมชนที่สะดวกสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งกระแสนี้เริ่มเป็นความนิยมแทบทั่วโลกเพราะผู้บริโภคเองก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น

สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มีการจับจ่ายใช้สอยบริโภคมากที่สุดในโลกเริ่มปรับกระแสและเป็นตัวอย่างของพฤติกรรมและวัฒนธรรมระหว่างผู้ผลิตผู้ขายและผู้บริโภค อย่างน้อยกรณีของ Walmart ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้ความหวังว่าเราทุกคนสามารถเลือกให้เป็นและสิ่งท้าทายทุกอย่างนั้นไม่เกินความสามารถของมนุษย์เราที่ต้องพึ่งความอยู่รอดกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จะเลือกเอาเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นกระแสที่ควรปฏิเสธ เราศึกษาตัวอย่างที่ดีเพื่อนำมาปฏิบัติและเราเองก็จะได้เป็นตัวอย่างให้กับผู้อื่นต่อไปครับ