เงินบาทเเข็งเป็นเรื่องภูมิใจหรือเรื่องน่ากังวลใจ?

เงินบาทเเข็งเป็นเรื่องภูมิใจหรือเรื่องน่ากังวลใจ?

หลายคนที่ผมรู้จัก ถามผมว่า ที่เงินบาทของเราเเข็งตอนนี้ ทำไมเศรษฐกิจถึงยังมีปัญหา ? ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่ดีมาก ไม่ใช่ตอบกันง่ายๆ

ผมจะขอใช้พื้นที่ ซึ่งมีไม่มากตีโจทย์กันให้เเตก คำถามที่ดีมีความสำคัญเท่าๆ กับคำตอบ ภาพลักษณ์ของการมองว่า ค่าเงินที่เเข็งเป็นเรื่องดี จากข้อสังเกตข้างต้นมันคงสื่อว่า เป็นอะไรที่ประเทศควรแสวงหาหรือเป็นเป้าหมาย ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย ค่าของเงินสกุลใดควรจะเป็นเท่าไหร่ในขณะใดขณะหนึ่ง(ในระยะสั้น)เเละในระยะยาว ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ อยู่ในสถานะภาพอย่างไร 

พูดง่ายๆ คือ ค่าของเงินไม่ใช่เป้าหมายขั้นสุดท้าย มันเป็นเครื่องมือประเภทหนึ่งเพื่อใช้บรรลุเป้าหมายขั้นสุดท้าย ซึ่งควรจะเป็น(ในกรณีสำหรับประเทศ)เช่น การมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อ อย่างยั่งยืน มีคุณภาพ มีการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของเเรงาน มีการจ้างงานเต็มที่ เเละมีค่าของเงินภายในที่ค่อนข้างคงที่ คือมีเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ เช่น ไม่เกิน 2% ต่อปี

เป้าหมายที่ว่านั้น เป็นเป้าหมายดุลยภาพภายใน เเต่ค่าของเงินสกุลหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง เช่น ค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ก็อาจจะส่งผลต่อดุลยภาพภายนอก(external balance) ซึ่งได้เเก่ การมีดุลการค้าเเละดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในสภาพสมดุล ขณะเดียวกันดุลยภาพเงินทุนไหลเข้าออก เมื่อรวมกันเเล้วเป็นดุลชำระเงินส่งผลให้ประเทศไม่มีหนี้สินหรือสินทรัพย์ต่อต่างประเทศมากจนเกินไป พูดอีกอย่างก็คือฐานะเศรษฐกิจเเละการเงินระหว่างประเทศอยู่ในดุลยภาพ มีเสถียรภาพ มีความมั่นคง จริงอยู่เรามักจะคิดว่าถ้าเราส่งออกมากกว่านำเข้ามันน่าจะดี หรือเราขายสินค้าเเละบริการมากกว่าซื้อ หรือเรามีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันสร้างงาน มันนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ มันเหมือนเราเป็นเจ้าหนี้กับต่างประเทศ มีเงินสำรองสูงขึ้น ขณะเดียวกันค่าของเงินก็อาจจะเเข็งเมื่อเทียบเงินสกุลอื่นๆ

ในกรณีเช่นนี้มันจะเป็นเรื่องที่ดีไม่มีปัญหา ถ้าค่าเงินที่เเข็งขึ้นของประเทศนั้น มันเผอิญตรงกับวัฏจักรเศรษฐกิจหรือการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจทั้งมหภาคเเละจุลภาค ไปในทิศทางที่ดีเป็นที่ต้องการ เช่น ค่าของเงินเเข็ง เศรษฐกิจเติบโตที่สูง การจ้างงานเต็มที่ การลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพระยะยาวก็สูง เเม้ค่าจ้างสูงขึ้นเเต่ผลิตภาพของเเรงงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า ขีดความสามารถในการเเข่งขันของประเทศไม่ลดลงจากค่าของเงินที่แข็งขึ้น เช่น กรณีตัวอย่างหลังสงครามค่าของเงินเยนของญี่ปุ่นเเละเงินมาร์คของเยอรมันที่เเข็งขึ้นพร้อมๆกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทางผลิตภาพเเละนวัตกรรม

ในความเป็นจริงเราต้องมาดูว่าค่าของเงินที่เเข็งขึ้นรวมทั้งการที่ประเทศมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล มีเงินสำรองสะสมจำนวนมากนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ในอดีตมีประเทศที่เคยมีค่าของเงินเเข็งขึ้นเพราะขุดพบทรัพยากรเช่น น้ำมันหรือเเก็สธรรมชาติ เช่นกรณีของเนเธอร์เเลนด์ในทศวรรษ 80 ส่งผลต่อการส่งออกเเละการเข้ามาของทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจนค่าของเงินกิลเดอร์สูงขึ้นมากจนไปกระทบความสามารถในการส่งออกภาคอุตสาหกรรมจนนักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า โรคของชาวดัตช์ (Dutch disease) นี่เป็นตัวอย่างผลเสียของค่าของเงินที่เเข็งขึ้นหรือเเข็งมากเกินไป ค่าของเงินมาร์คเยอรมันที่เเข็งมากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในยุโรปสร้างปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศเเละมีผลต่อความสามารถในการเเข่งขันของเยอรมันด้วย เยอรมันได้ประโยชน์จากการรวมตัวเป็นเงินเดียวกันคือเงินสกุลยูโร เเก้ปัญหาของเงินมาร์คที่เเข็งมาตลอด(แต่ในที่สุดประเทศอื่นๆที่อ่อนเเอกว่าเยอรมันก็เสียเปรียบ)

งานวิจัยของ Dani Rodrik ศึกษากับหลายประเทศ พบว่าประเทศที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง มีค่าอ่อนกว่าความเป็นจริง(undervalued real exchange rate) เช่น จีนทำกับอเมริกามาตลอดจะทำให้เศรษฐกิจโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

ในกรณีของไทย หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ค.ศ. 1997 หลังจากนั้นประมาณครึ่งศตวรรษ ฐานะเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศของไทย จัดว่ามีความมั่นคง มีเสถียรภาพดีขึ้นมาตลอด

ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมาต่อเนื่อง การส่งออกในสินค้าเเละบริการมากกว่าการนำเข้าโดยนัยยะ เราผลิตได้มากกว่าเราใช้เอง เราผลิตให้คนอื่นใช้ เราออมมากกว่าที่ใช้ลงทุนภายในประเทศ ในเเต่ละปีเราเริ่มเป็นเจ้าหนี้ เเม้ว่าวันนี้ฐานะสุทธิ เรายังมี stock หรือยอดคงค้างของหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน เเต่เรามีทุนสำรองถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าคิดเทียบต่อ GDP ต้องจัดว่าสูงมากประเทศหนึ่งในโลก

อย่างไรก็ตาม การมีดุลบัญชีดุลสะพัดเกินดุลของเราเกิดขึ้นในบริบทที่เศรษฐกิจของเราโตในอัตราที่ต่ำกว่าในอดีต คือเฉลี่ยที่ผ่านมาอยู่ที่ 3-4% เมื่อเทียบกับ 6-7% ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง

ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเกิดขึ้นในบริบทที่ภาคของเอกชนลงทุนต่ำมากเมื่อเทียบกับในอดีต (การลงทุนต่ำ ความเจริญเติบโตก็ต่ำ การนำเข้าก็ต่ำ) ซ้ำร้ายกว่านั้นผลิตภาพของเเรงงานต่ำ เรากินของเก่าไม่มีนวัตกรรม ค่าจ้างคนงานก็ต่ำ คุณภาพทุนมนุษย์ต่ำ เราอาศัยเเรงงานราคาถูกจากเพื่อนบ้านซึ่งฉุดค่าจ้างเฉลี่ยเเละคุณภาพชีวิตของเเรงงานไทย ไม่น่าแปลกใจทำไมเราถึงติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง

ฐานะเงินบาทของไทยที่เเข็งขึ้น เงินสำรองที่สูงขึ้น ภาคสถาบันการเงินแข็งเเกร่งขึ้นจะไม่มีความหมายเลยตราบใดที่เราไปไม่ถึงดวงดาวทางด้านคุณภาพของภาคเศรษฐกิจที่เเท้จริง คือ ผลิตภาพของเเรงงานเเละทุนที่สูงขึ้น การกระจายรายได้เเละความมั่งคั่ง ไม่มีความเหลื่อมล้ำมากจนเกินไป คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน