สนิม&ขยะ!! ถึงเวลาที่อนาคตใหม่ ต้องมองตัวเอง
ความแตกแยกในพรรคอนาคตใหม่ที่ 120 สมาชิกพรรค ซึ่งเป็นทั้งอดีตผู้สมัครเขต ยื่นหนังสือลาออกจากพรรค ส.ส.บัญชีรายชื่อ
อย่าง นิรมาน สุไลมาน ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค รวมทั้ง ส.ส.ที่ลงมติในสภาผู้แทนราษฎรสวนมติพรรค ได้ถูกตีความจากผู้นำสูงสุดอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าเป็นกระบวนการ “สนิม” ที่วันเวลาจะถูกเคาะออกไปให้เหลือเฉพาะ “เหล็ก” หรือคนที่มีอุดมการณ์แนวทางเดียวกับพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น
ขณะที่รุ่นแรกที่แห่ไปยื่นใบลาออกถึง กกต.และรุ่นสองกำลังตามมา มองว่าตัวเองเป็น “ขยะ” ในสายตาคนชั้นสูง (ผู้นำพรรค) และชนชั้นที่สนิทกับชนชั้นสูง (ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์+ผู้ที่ได้ตำแหน่งทางการเมือง) นั่นย่อมสะท้อนความขัดแย้งที่ปะทุขึ้น ในพรรคอายุ 1 ปี 6 เดือน อย่างชัดแจ้ง
ปัญหาแห่งความขัดแย้งที่ อดีตสมาชิก-ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคที่แสดงปฏิกิริยาลาออกหรือแสดงมติแตกต่างจากพรรค นั่นเป็นเพราะ “ความไม่เป็นประชาธิปไตย” ในพรรค ทั้งๆ ที่เป็นพรรคอวดอ้างชูความเป็นประชาธิปไตย กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น “เผด็จการ”
พรรคอนาคตใหม่ หากต้องการยืนอยู่ในระบบพรรคการเมืองในเวลานี้ จะต้องทบทวนการทำงานของตัวเอง ในฐานะพรรคการเมืองอันเป็นองค์กรที่ต้องรวมความคิดและอุดมการณ์อันหลากหลาย ไม่ใช่คิดแบบธนาธร ที่ต้อง “คิดแบบเดียวกัน” เท่านั้น เพราะหากตีกรอบว่า คนที่อยู่ร่วมกันต้องคิดแบบหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือโฆษกพรรคเท่านั้น แบบนี้เขาเรียกว่า “พรรคเผด็จการ” หาใช่ประชาธิปไตยไม่
และต้องหันมาทบทวนแบบพรรคการเมืองรุ่นพี่ เมื่อไม่สามารถ “มีชัย” ในการเลือกตั้งและไม่สามารถรวบรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาล จงทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ต้องยกตัวอย่างพรรคเพื่อไทย ที่หันไปตรวจสอบรัฐบาลด้วยการเตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ อยู่ที่มีข้อมูลเด็ดเพียงใด แต่อย่างน้อย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือมาตรการป้องปรามไม่ให้รัฐบาลกล้าทุจริต ที่ประเทศจะได้ประโยชน์
มิใช่ “แพ้” แล้ว เอาแต่จะปลุกระดมคนออกมาอยู่บนท้องถนน เพื่อหวังโค่นล้มรัฐบาล หรือมีพฤติกรรม “ชังชาติ” ที่ชอบตำหนิประเทศตัวเองให้ต่างชาติฟัง หากมีพฤติกรรมเฉกเช่นนี้ต่อไป การไม่มีพรรคอนาคตใหม่อยู่ในสารบบพรรคการเมือง จึงหามีคนคิดเสียดายไม่!