คิดอย่างไรให้นอนหลับ

คิดอย่างไรให้นอนหลับ

การนอนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์เช่นเดียวกับสัตว์ทุกเผ่าพันธุ์ในโลกซึ่งล้วนนอนด้วยกันทั้งนั้น ประเด็นสำคัญก็คือการนอนแล้วต้องหลับ

 คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลใจว่าจะนอนไม่หลับซึ่งทำให้นอนไม่หลับไปจริงๆ ทั้งที่โดยแท้จริงแล้วเกิดสิ่งที่เรียกว่า micro sleep คือหลับตั้งแต่ 1-30 วินาทีสั้นๆ หลายครั้งโดยไม่รู้ตัวเสมอ

แม้แต่ปลาฉลามก็นอนหลับโดยไม่หลับตา ช้างนอนวันละ5ชั่วโมงและสัตว์พวกเสือโดยเฉพาะแมวนอนวันละ 15 ชั่วโมงมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ (ตรวจสอบกันเฉพาะคนเลยไม่รู้ปัญหาของสัตว์อื่น ๆ) ต้องการคำแนะนำที่ดี ๆ เสมอ

ในคอลัมน์นี้ท่านผู้อ่านคงสังเกตเห็นว่าแต่ละอาทิตย์มีเรื่องแปลกๆ ไม่มีแนวใดแนวหนึ่งตายตัว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้เขียนต้องการให้เป็น “อาหารสมอง” ที่ไม่จำเจ ผู้เขียนตั้งใจเขียนเรื่องที่คนอื่นไม่เขียนหรือเขียนคนละแง่มุมเพื่อทำให้คอลัมน์น่าสนใจขึ้น ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ถ้าจะเขียนแต่เรื่องเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ก็คงไม่ยากจนเกินไป แต่ในคอลัมน์อื่นก็มีผู้เขียนชั้นเลิศในแนวนี้อยู่แล้ว 

ครั้งนี้ขอเขียนเรื่อง“การนอนหลับยามค่ำคืน”ซึ่งได้ข้อมูลจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งให้แง่มุมเรื่องการนอนหลับในแง่จิตวิทยาที่น่าคิด

การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างยิ่งมีงานศึกษาที่พบว่าเกี่ยวพันกับการเป็นโรคAlzheimerและปัญหาสุขภาวะโดยรวม วารสารLancetที่มีชื่อเสียงทางการแพทย์ตีพิมพ์งานศึกษาแพทย์ที่ทำงานโดยไม่หลับเลยเกินกว่า24ชั่วโมงและพบว่าทำงานชิ้นเดิมที่เคยทำช้าลงไปกว่า14% นอกจากนี้ยังทำงานผิดพลาดมากกว่า20%ขึ้นไปอีกด้วย

นักจิตแพทย์ให้แง่มุมสำหรับผู้มีปัญหาเรื่องการนอนที่น่านำไปไตร่ตรองและอาจช่วยแก้ปัญหาได้ข้อเสนอแนะมีดังต่อไปนี้

1.การผ่อนคลายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการพยายามนอนหลับ ต้องแยกให้ออกว่าการพักผ่อนกับการผ่อนคลายนั้นไม่เหมือนกันเพราะการพักผ่อนในเรื่องบางอย่างไม่ใช่การผ่อนคลาย แต่อาจเพิ่มความเครียดและความกดดันด้วยซ้ำ เช่น การพักผ่อนโดยการเล่นไลน์หรือโซเชียลมีเดียซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดหรือใจคอไม่สงบเพราะเกิดความรู้สึกหลากหลายแนวดราม่าขึ้นในใจ หรือพูดคุยสนุกเฮฮาแต่เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือการอ่านหนังสือบางเรื่อง ดูรูปภาพเก่าๆ ที่กระทบอารมณ์ชมภาพยนตร์บางประเภทที่ทำให้เกิดความเครียดยิ่งขึ้น

2.การนอนหลับหรือไม่หลับเป็นเรื่องธรรมชาติซึ่งบังคับกันไม่ได้ แต่การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่เราเลือกกระทำได้ ซึ่งการผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจมากกว่าการครุ่นคิดพะวงว่าจะนอนไม่หลับ

3.สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการนอนหลับคือ“ความคาดหวัง”ที่จะต้องนอนให้หลับและเมื่อดูจะมีปัญหาในการนอนหลับ จิตก็เริ่มหวาดหวั่นว่าจะนอนไม่หลับ เกิดความเครียดจนนอนไม่หลับจริง ๆ และไม่เกิดความผ่อนคลายดังนั้นต้องฝึกให้รู้ทันและปล่อยวางสิ่งต่างๆลง นี่คือเคล็ดลับของความสุขในยามค่ำคืน ตลอดจนความสุขในเรื่องอื่นๆในชีวิตด้วย

4.การนอนหลับหรือนอนไม่หลับอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด สิ่งสำคัญคือการ ผ่อนคลายเมื่อผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจแล้วถึงจะนอนหลับได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ตอนเช้าก็สามารถมีความรู้สึกสดชื่นได้

5.การนอนไม่หลับไม่ใช่ความหายนะ การตื่นกลางดึกก็ไม่ใช่ความหายนะเช่นกัน การไม่ผ่อนคลาย ความกดดันและการบังคับตัวเองให้หลับต่างหากที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ ตราบใดที่ใจและกายผ่อนคลายแล้วในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้แม้นอนไม่หลับมาก็ตาม

6.การนอนหลับไม่ใช่หนทางเดียวที่จะช่วยเยียวยาร่างกายตอนกลางคืน การผ่อนคลายจากการปล่อยวางต่างหากที่ช่วย

มนุษย์เรานั้นเมื่อไม่ตั้งใจจะหลับ การหลับที่เป็นธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นเอง

7.เมื่อไม่กลัว“การนอนไม่หลับ”แล้ว ชีวิตก็ง่ายขึ้นมาก การนอนหลับหรือไม่หลับจึงไม่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดและกังวลอีกต่อไป

8.สรุป“การนอนไม่หลับ”ไม่ใช่ปัญหาแต่วิธี“การคิด”และ“การพยายามที่จะหลับให้ได้”ต่างหากที่เป็นปัญหา

อย่านับแกะโดดข้ามรั้วเพราะจะทำให้นอนไม่หลับ หากจงผ่อนคลายร่างกายทั้งร่างโดยเฉพาะที่ใบหน้าเหมือนท่าพื้นฐาน"ท่านอนตาย”ของนักเล่นโยคะและหากทำเช่นนี้แล้วยังนอนไม่หลับอีกเพราะกำลังเริ่มมีความรักก็อาจเป็นเพราะบัดนี้โลกความเป็นจริงมันดีกว่าความฝันไปเสียแล้วจึงไม่จำเป็นต้องหลับอีกต่อไป