ทาง2แพร่ง พ.ร.บ.งบ 63

ทาง2แพร่ง พ.ร.บ.งบ 63

สภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ในวันที่ 17-19 ต.ค.นี้

พ.ร.บ.งบประมาณ ถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศอย่างยิ่ง เพื่อนำไปใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล ทั้งรายจ่ายประจำ 

นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดเอาไว้ตั้งแต่ 3 ตุลาคม  ว่า “งบประมาณยังไม่ได้พิจารณา ต้องรอนำเข้าวาระการพิจารณาภายในเดือนนี้ หวังว่าคงผ่าน ถ้าไม่ผ่านคนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เกษตรกรก็เดือดร้อน คงไม่ใช่ผมคนเดียว”

ขณะที่ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) สุทิน คลังแสง  ยังมองว่า รัฐบาลทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายจุดทั้งรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ระเบียบงบประมาณ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง แผนยุทธศาสตร์ชาติ ดูแล้วการจัดงบประมาณ ดูหลายจุดขัดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องขอคำชี้แจง มันก็ต้องจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ดี ดูจากท่าทีฝ่ายค้าน แล้วหวังจะใช้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ดิสเครดิตและคว่ำรัฐบาล ในสภาพดูได้จากพรรคเพื่อไทย มีผู้แสดงความจำนงที่จะอภิปรายประมาณ 60 คน 

ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ส.ส.หน้าใหม่ของพวกเขา “มีดี” กว่าที่คิด แม้เพิ่งจะเข้ามาในสนามการเมืองครั้งแรก หลายประเด็นทำรัฐบาล “เป๋” มาแล้ว ครั้งนี้ หัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ติวส.ส.เองกับมือวาง “หมัดเด็ด” เช่นกัน

ที่น่าสนใจ คือ ถ้าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ผ่านสภาฯ จะมีผลอย่างไรกับความรับผิดชอบทางการเมืองและทางกฎหมาย

นักข่าวได้คำตอบจากรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ที่บอกว่า หลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีอยู่แล้วว่าอะไรก็ตามที่สภาฯเสียงข้างมากไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลนั้นก็ไม่พึงจะอยู่ต่อไป ซึ่งการไม่ไว้วางใจนั้นแสดงออกได้ 2 อย่าง คือ

1.ไม่ไว้วางใจโดย “เปิดเผย” ตรงนี้ทำโดยการลงมติไม่ไว้วางใจ

2.ไม่ไว้วางใจโดย “ปริยาย” ด้วยการแสดงออกจากการที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายสำคัญเข้าสภาฯ แล้วสภาฯ ลงมติให้ไม่ผ่าน

ซึ่งก็แปลว่าสภาฯ ไม่ยอมให้เครื่องมือรัฐบาลไปทำงาน รัฐบาลก็ไม่ควรจะต้องอยู่ต่อไป 

แต่วิธีที่จะ “ไม่อยู่” นั้น สามารถทำได้ 2 อย่าง คือ

1.ทำโดยรัฐบาลลาออก

2.ทำโดยออกด้วยกันทั้งคู่

โดยประการที่สอง คือการที่สภาฯ ไม่เห็นชอบ ไม่รู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรต่อทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึง “ยุบสภา” แล้วไปเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 

นี่จึงเป็นทางสองแพร่งที่บีบให้ “บิ๊กตู่” ต้องเลือก