เหนื่อยมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น

เหนื่อยมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น

หลายคนเหน็ดเหนื่อยขึ้นมากในช่วงนี้ มีงานมากขึ้นจากสารพัดเรื่องรอบตัวที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาท้าทายการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน

ทำมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เหตุการณ์แบบนี้มาจากหลายสาเหตุ แต่เหตุสำคัญคืองานการที่ทำเยอะขึ้นนั้น กระทำอย่างไม่มีประสิทธิผล คือทำไปโดยไม่แน่ชัดว่าทำไปทำไม ขยันมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น โดยไม่มีคำตอบว่าที่เหนื่อยกันมากขึ้นนั้นเหนื่อยกันไปเพื่ออะไร หลายคนคงแย้งว่าจะมีใครในโลกนี้ที่ทำการงานไปโดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม

แต่ถ้าลองถามตัวเองดูในตอนนี้ว่าที่กำลังทำอยู่นั้น ฉันทำไปเพื่ออะไร คำตอบที่ได้มักเป็นคำตอบเกี่ยวกับตัวเราเอง ทำไปเพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพ ทำไปเพื่อครอบครัว แต่พอถามย้อนกลับไปถึงองค์กร คำตอบมักไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ค่อยได้ วัดความสำเร็จไม่ค่อยได้ ไม่รู้ชัดๆ ว่าผลลัพธ์ของความขยัน ความเหน็ดเหนื่อยนั้นสำคัญอย่างไรกับความสำเร็จขององค์กร

เมื่อคนที่ขยันทำงานนั้นไม่ใช่คนที่จะบอกว่าการงานนั้นทำให้องค์กรประสบความสำเร็จอย่างไรบ้าง ความขยันนั้นอาจจะเป็นบวกสุดๆ ถ้านายใหญ่ชอบใจบอกว่าประสบความสำเร็จ หรืออาจกลับกลายเป็นความขยันที่นายใหญ่บอกว่าไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย แม้ว่าที่เราทำนั้นจะเต็มไปด้วยผลงาน มีผลผลิตมากมายก็ตาม นายใหญ่สั่งให้ขนของขึ้นรถ โดยไม่ได้บอกชัดๆ ว่าให้ขนอะไรขึ้นรถบ้าง บอกแค่ให้ขนของขึ้นรถ และนายใหญ่ก็ไม่ยอมให้ถามด้วยว่ารถคันไหน ขนอะไรขึ้นไปบ้าง แม้ว่าเราจะขนของสารพัดอย่างขึ้นรถสิบล้อจนเต็มคัน ผลที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ที่นายใหญ่ต้องการ วันนั้นท่านเกิดอยากจะไปรถปิกอัพ เราขนของเต็มรถสิบล้อ เราขยันแต่ก็ถูกด่าอยู่ดี

ถ้าวันนี้ขยันมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้นทั้งกับตัวเราและกับองค์กร ให้ทบทวนทันทีว่าเราทำงานโดยมีใครมาบอกเราหรือไม่ว่าเส้นชัยที่อยากให้เราไปนั้นอยู่ที่ไหน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากผลผลิตที่เราลงมือลงแรงกระทำไปนั้นท่านต้องการอะไรแน่ อย่าหลงอยู่กับถ้อยคำสวยๆ ของนายใหญ่ที่มองไกลไปว่าองค์กรจะก้าวหน้า ก้าวไกล อย่างนั้นอย่างนี้ ตราบเท่าที่ยังไม่รู้เรื่องว่าผลลัพธ์ที่ต้องการจากงานที่เราเกี่ยวข้องอยู่นั้นคืออะไร อย่าพยายามขยันมากขึ้นอย่างเด็ดขาด ถ้ายังไม่ชัดว่าเป้าคืออะไรอย่าขยันยิงปืนออกไปเด็ดขาด เพราะยิงไปเยอะๆ แล้วอาจไม่ใช่แค่ไม่ถูกเป้า แต่ลูกปืนที่ยิงไปนั้นอาจไปถูกใครต่อใครได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน

การทำงานไปโดยไม่รู้ชัดๆ ว่าผลลัพธ์ที่ต้องการแน่ๆ นั้นคืออะไร ไม่ใช่แค่เหนื่อยฟรี แต่อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดหวังและเป็นผลข้างเคียงที่เป็นลบตามมาด้วย ซึ่งหากมีผลลัพธ์ในทางลบเกิดขึ้นมากๆ การงานใหม่เพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านั้นก็ตามมาอีก ทำให้เราต้องขยันเพิ่มขึ้นอีกเพื่อแก้ไขเรื่องที่เป็นลบ เลยยิ่งไม่มีเวลาเหลือไปสร้างผลผลิต ที่นำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกให้กับองค์กร

องค์กรหนึ่งมีนายใหญ่เป็นนักปราชญ์ กำหนดผลลัพธ์เกี่ยวกับบุคลากรเป็นปรัชญาที่เข้าใจยากเย็น สาวกมือใหม่ตีความว่าบุคลากรไม่ขยัน เลยไปออกกฎกติกาเร่งความขยันมาบังคับใช้ ทั้งๆ ที่บุคลากรล้วนแต่เก่งได้ระดับ ขยันทำงานเองโดยไม่ต้องสั่งอยู่แล้ว พอมีขั้นตอนที่ไม่มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นมา ผลลัพธ์จึงลดลง จากเคยเป็นองค์กรชั้นหนึ่ง กลายเป็นชั้น 6 ชั้น 7 ไปเลย สาวกนายใหญ่ก็ต้องออกกฎระเบียบใหม่มาเพิ่มความสะดวกในการทำงาน สาวกขยันขึ้น บุคลากรขยันขึ้น แต่องค์กรเหมือนเดิม

เมื่อนายใหญ่ประกาศผลลัพธ์อะไรที่ไม่มีใครเข้าใจได้ ให้พยายามทำงานนั้นเท่าที่จำเป็น อย่าขยันขึ้นกับงานนั้น เอาเวลาไปสร้างผลงานผลผลิตที่รู้ชัดๆ ว่าผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไรจะดีกว่า ถ้าไม่มีงานแบบนี้ให้ทำ ก็เอาเวลาไปวิ่งเต้นประจบสอพลอนายใหญ่ ซึ่งจะเหนื่อยน้อยกว่าแต่ได้มากกว่า ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่นายใหญ่อยากได้คืออะไร ให้เร่งสร้างผลผลิตด้วยการประจบนายใหญ่ไว้ก่อน ผลผลิตคือได้ทำคือนับจำนวนครั้งและเวลาที่ประจบ ผลลัพธ์คือได้ผล คือนับสารพัดอย่างที่ได้ดิบได้ดีจากการอุปถัมภ์ของนายใหญ่