ยุค(หน้า)มืด

ยุค(หน้า)มืด

บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ยุค “หน้ามืด”

ฝ่ายหนึ่งก็หน้ามืดสืบทอดอำนาจ ออกกติกาทุกอย่างเอื้อประโยชน์ของพวกตน โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นร่มใหญ่ ทั้งรูปแบบวิธีการเลือกตั้ง การคิดคะแนน การมี ส.ว. แถมด้วยอำนาจพิเศษช่วงเฉพาะกิจ เฉพาะกาล ร่วมโหวตเลือกนายกฯได้ในช่วง 5 ปีแรก

ผลที่ออกมาก็คือรัฐบาลผสม 19 พรรค ทะเลาะกันตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ปากท่องผลประโยชน์ชาติ แต่มือไม้แขนขารุมทึ้งเก้าอี้ เพื่อให้ตัวเองและพรรคพวกได้เป็นรัฐมนตรี มีอำนาจวาสนาให้มากที่สุด กราบเท้าผู้มีอำนาจก็ยอม

พอตั้งรัฐบาลได้แล้วก็ตีกันต่อเรื่องนโยบาย พรรคนั้นจะเอาแบบนี้ พรรคนี้จะเอาแบบนั้น ก็อย่างว่ามีกันตั้ง 19 พรรค หนำซ้ำยังสำคัญเท่ากันเกือบหมดเพราะเสียงปริ่มน้ำ ก็ยากหน่อยที่จะทำให้ผสมกลมกลืน

ข้างฝ่ายรัฐมนตรี เสนาบดีป้ายแดง ก็พากันรุมแย่งห้องทำงาน คงกลัวว่าจะสนองงานประชาชนได้ไม่เต็มที่ แต่ข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เขารู้ดี รัฐบาลผสมหลายพรรคแบบนี้ พอเข้ามาจริงๆ ก็มาแย่ง “กรม” กันต่ออีก กรมไหนงบเยอะ ผลประโยชน์มาก ก็จ้องกันตาเป็นมัน กรมไหนงบน้อย หรือไม่มีช่องทางให้หาเศษหาเลย ก็ไม่มีใครสนใจ ใครถูกจัดสรรให้รับผิดชอบก็ทำกันแบบแกนๆ

หนักเข้าไปอีกก็คือขนคน ขนลูกน้อง พาเพื่อนพ้องน้องพี่มากินตำแหน่ง “ข้าราชการการเมือง” อ้างว่าต้องหาคนมาช่วยงาน ทั้งๆ ที่ข้าราชการเต็มกระทรวง จากนั้นคนเหล่านี้ก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขึ้นกับรัฐมนตรีคนไหน ก็จะทำงานให้แต่รัฐมนตรีคนนั้น แถมยังชักชวนข้าราชการให้ร่วมตั้งค่าย ตั้งกำแพง แย่งผลผลงาน ชิงผลประโยชน์กันด้วย

นี่คือเรื่องราวสิ้นหวังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และกำลังจะเกิดซ้ำอีกในรัฐบาลชุดนี้

ครั้นจะหันไปตั้งความหวังกับอีกฝ่าย ก็มีแต่พวกหน้ามืดกับวาทกรรมประชาธิปไตย เสรีภาพ เสรีนิยม ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้ว่ารากเหง้า ฐานคิดเขามาอย่างไร

ปากท้องคัมภีร์อ้างความหลากหลาย เตรียมใส่เสื้อยืด กางเกงบอลเข้าสภา บ้างก็ทำห้องประชุมที่ใช้แก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลายเป็นรันเวย์ เดินแบบแฟชั่น โดยไม่ได้สำเหนียกว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่เสรีภาพ แต่ยังมีหน้าที่และกาละเทศะที่ต้องถือปฏิบัติด้วย

พนักงานสายการบินถูกต่อว่าเพราะไปถ่ายภาพกับนักการเมืองดัง ก็ออกมาปกป้องอ้างลิดรอนเสรีภาพ ทั้งที่จริงๆ แล้วการถ่ายภาพเซลฟี่ใครๆ ก็ถ่ายได้ ไม่มีใครห้าม เพียงแต่อย่าไปใส่เครื่องแบบบริษัท เพราะมันจะถูกตีความส่งผลร้ายในสถานการณ์ขัดแย้ง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่หน้ามืดเฉพาะนักการเมือง หรือผู้มีอำนาจ แต่ยังลากเอาประชาชนไปร่วมหน้ามืด เป็นแฟนคลับ สาวกในระดับแทบจะตายแทนกันได้อีกไม่น้อย แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะเหลืออะไรถ้าไม่ใช่ “ยุคมืด”