ร่วมกันรักษ์โลกเพื่อคนรุ่นลูก-หลาน

ร่วมกันรักษ์โลกเพื่อคนรุ่นลูก-หลาน

ในโลกยุคดิจิทัล กับคำว่า “big data” และ “Internet of Things” เป็นสิ่งที่ได้ยินกันบ่อยครั้ง

 ชวนให้นึกถึงเทคนิคที่ซับซ้อนและการสื่อสารกันด้วยภาษาที่คนยากจะเข้าใจ แม้ประเทศไทยตระหนักดีถึงโอกาสและความท้าทายที่มาพร้อมความทันสมัยนี้ เพื่อการพัฒนาให้ครอบคลุมทุกมิติ  โดยเฉพาะในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน 

ด้วยเหตุนี้ เราจึงกำหนแนวคิดหลัก ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ(Sustainability of Things :SOT) 

โดยส่วนหนึ่งในมิติที่ครอบคลุมดังกล่าว ไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมิติที่สาธารณชนรับรู้และสนใจมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ปี 2573 (United Nations 2030 Agenda for Sustainable Development หรือ SDGs) ซึ่งมีเป้าหมาย 7 ข้อ ที่แบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม หรือ 5Ps คือ การอนุรักษ์โลก (Planet) การสร้างสันติภาพ (Peace) การสร้างความเจริญก้าวหน้า (Prosperity) การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือ (Partnership) และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชน (People)

เมื่อกล่าวถึงการอนุรักษ์โลก อากาศบริสุทธิ์และน้ำสะอาดเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของคนและทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ แต่น่าเสียดายว่า มนุษย์กลับเป็นผู้ที่คุกคามทำร้ายโลกใบนี้มาตลอด กระทั่งมีเสียงเรียกร้องให้ใช้แนวทางการพัฒนาที่สมดุลซึ่งรวมถึงแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน

ประเทศไทยตระหนักถึงความเกี่ยวโยงระหว่างด้านสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความสำคัญต่อผลสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยรวม เราจึงกำหนดมาตรการที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงความยั่งยืนให้มากขึ้น และได้รวมไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560– 2579)

ประเทศไทยได้ริเริ่มแผนการลดก๊าซเรือนกระจกระดับชาติ ปี พ.ศ. 2564 - 2573(Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 – 2030) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 20 - 25% ภายในปี 2573 ตามเป้าหมาย ซึ่งจากความต่อเนื่องในมาตรการ จนเมื่อปีที่แล้ว สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 45.72 ล้านตัน หรือ 12% ของเป้าหมายตามแผน ซึ่งวางไว้ที่ 7 - 20% ภายในปี 2563 

นอกจากนี้ ไทยยังสามารถฟื้นฟูแนวปะการัง 150 ไร่ ฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนกว่า 5,500ไร่ ตลอดจนลดการใช้ถุงพลาสติกได้กว่า 435 ล้านถุง ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา

ประเทศไทยยังแสดงความมุ่งมั่น ที่จะดำเนินการตามพันธกรณีความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนได้ริเริ่มความร่วมมือกับหุ้นส่วนระดับโลกต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และ แนวปฏิบัติอันเป็นเลิศ

การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นวาระระดับโลก ซึ่งต้องการความร่วมมือจากประเทศต่างๆ และไทยอยู่ในสถานะที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้เป็นพิเศษในปีนี้ เพราะนอกจากจะเป็นประธานอาเซียนแล้ว ไทยยังเป็นประเทศ ผู้ประสานงานอาเซียนในเรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Coordinator on Sustainable Development Cooperation) ซึ่งมีภารกิจในการยกระดับความร่วมมือ การหาความเชื่อมโยงที่จะเสริมซึ่งกันและกันระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ 

ทั้งนี้ ผลงานสำคัญที่ไทยมีบทบาทนำในการจัดทำ มีมากมาย อาทิรายงานเรื่อง “Complementarities between the ASEAN Community Vision 2025 and the United Nations 2030 Agenda for Sustainable Development: A Framework for Action”  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะหาแนวทางเสริมสร้างศักยภาพของอาเซียนกับสหประชาชาติ และเพิ่มความแข็งแกร่งของกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

หนึ่งในข้อเสนอแนะจากรายงานดังกล่าวที่เกิดขึ้นจริงในปีนี้ คือ การจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue) ในประเทศไทย ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลไทยและจะเป็นกลไกประสานโครงการที่เกี่ยวข้องกับข้อริเริ่มความเชื่อมโยง (Complementarities Initiative) ดังกล่าว เพื่อให้เกิดการประสานงานกับประเทศสมาชิก สร้างเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค

อีกวาระที่ไทยในฐานะประธานอาเซียนจะผลักดัน คือ สิ่งแวดล้อมทางทะเล (marine environment) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผลกระทบจากขยะทะเล (marine debris) หลังงานวิจัยพบแพขยะทะเล (garbage patch) ขนาดใหญ่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ถือเป็นความเสี่ยงสำหรับมนุษย์ที่อาจบริโภคปลาที่กินขยะดังกล่าวเข้าไป ทั้งยังเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเล อาทิ เต่าและวาฬ ซึ่งตายปีละนับแสนตัวเพราะกินขยะทะเลที่ไม่ย่อย นอกจากนี้ มันยังส่งผลเสียหายต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญขอประเทศ

ไทยเชื่อว่าแต่ละประเทศควรมีแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของตนเอง ในกรณีของไทย ได้ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy หรือ SEP) ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นแนวทางการพัฒนา ที่ให้ความสำคัญ การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา การหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ปฏิบัติได้จริง และการนำหนทางดังกล่าวมาปฏิบัติ

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักการพื้นฐานที่แฝงไว้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2545 ทั้งยังได้แบ่งปันหลักปรัชญานี้แก่ประเทศต่าง ๆ ใช้เป็นทางเลือกเพื่อบรรลุ SDGs ผ่านการจัดทำหลักสูตรอบรมและการก่อตั้งโครงการความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งในเอเชียและแอฟริกา

ความมุ่งมั่นของไทยต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้รับการพิสูจน์จากความสำเร็จที่ผ่านมา ซึ่งไทยพร้อมที่จะขยายผลให้มากขึ้น การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นประเด็นสำคัญในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน และไทยจะร่วมมือกับประเทศสมาชิกและประเทศหุ้นส่วนอื่นๆ ทั่วโลกเพื่อสร้างเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

โดย...  

ดอน ปรมัตถ์วินัย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ