“เกมต่อรอง"เต็มรูปแบบ

เมื่อผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 8 คะแนนที่ออกมา ถูกนำไปคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์กันใหม่

และส่งผลให้ “พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม ที่เพิ่งเป็น ส.ส.ได้ 3 วัน ก็มีอันต้องถูกริบเก้าอี้คืน ไปให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนรวมมากกว่า ส.ส.พึงมี 

เรียกว่าถึงเป็นกรณีศึกษา “สูตรเลือกตั้งใหม่” ในกติการัฐธรรมนูญใหม่ ที่ประเดิมใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

และอาจจะไม่จบเท่านั้น เรื่องร้องเรียนที่คาอยู่ใน กกต.ยังมีอีกหลายร้อยคำร้อง หากมีการพิจารณาแจกใบเหลือง ใบแดง ใบดำ กันอีก ก็จะต้องเลือกกันใหม่ คำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์กันใหม่

ฉะนั้นความเสี่ยงจึงตกอยู่กับ ส.ส.พรรคเล็ก ในกลุ่ม 10 กว่าพรรค ที่คะแนนไม่ถึง 7.5 หมื่น ตามสูตรคำนวณก๊อกแรกของกกต. 

และที่ยังวุ่นกันขึ้นไปอีกระดับ คือ เก้าอี้ใน ครม.“พลังประชารัฐ 1 ” ที่ยังตกลงกันไม่ได้ อันเนื่องมาจากปัญหาภายในของ พปชร.เอง จนทำให้ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล อย่าง ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ออกอาการ “ชักออก” 

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ เก้าอี้ที่ก๊วนสามมิตร ในพปชร.จองไว้แต่ต้น แต่“ผู้มีอำนาจเหนือพรรค”ยึดไปให้ค่ายสะตอ ข้ามหัว“เสี่ยสมศักดิ์”ไป เลยแสดงอิทธิฤทธิ์ในการประชุมสภาฯ นัดแรกให้เป็นที่ประจักษ์ เสนอเลื่อนวาระ และพร้อมยก 20 ส.ส.โหวตให้ขั้วตรงข้าม ดูเหมือนจะตกลงกันได้ แต่สุดท้ายค่ายสะตอ ปชป.ก็ไม่คาย จึงกลายเป็นเรื่องบานปลาย เข้าสู่ “เกม”ต่อรองเต็มรูปแบบ

และส่อลามไปถึงพรรคปลาไหล ชาติไทยพัฒนา ถึงจะเป็นพรรคเล็ก 10 เสียง แต่ก็ไม่ใช่ยกเก้าอี้เหลือๆ แล้วต้องรับ เพราะล่าสุด รุ่นใหญ่ในพรรค ก็ออกโรง ปฏิเสธเก้าอี้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และโควตา รมช.กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ชนิดไม่เกรงใจกันแล้ว 

2 เดือนที่มีเวลาในการเจรจา ตกลงเก้าอี้ แต่ พปชร.ในฐานะพรรคที่ชิงประกาศ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคแรก แต่กลับมีปัญหาการบริหารจัดการภายในอย่างหนัก เพราะแกนนำแถวหน้าของพรรค ไม่ได้มีอำนาจแท้จริง การเจรจาของพรรคร่วมจึงไม่แน่ใจว่า คุยกับใครแล้วจบ ระหว่าง “พี่ใหญ่” หรือ “ที่ปรึกษาทางใจ” ของพรรค

มาถึงจุดนี้ ทางเดียวที่จะได้ข้อสรุปคือ โยนประเด็นออกมา เพื่อเปิดเกมต่อรอง

สภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ กำลังส่อเค้าจะเจอปัญหาตลอดทาง ถือเป็นความท้าทายฝีมือ “นายกฯลุงตู่” ในวันที่ไม่มี ม.44 เป็นตัวช่วย ว่าจะไปได้นานแค่ไหน