ดอกไม้และการเมือง

ดอกไม้และการเมือง

ช่วงเดือน ก.พ.ถึงปลาย เม.ย. ของทุกปีเป็นฤดูกาลแห่งการบาน การชื่นชมดอกไม้ 3 ชนิด ในเกือบทุกมุมโลกซึ่งได้แก่ ดอกท้อ ดอกโบตั๋น และดอกซากุระ

อย่างไรก็ดี ผู้คนชื่นชมโดยอาจมิได้ตระหนักถึงเรื่องการเมืองที่โยงใยกับดอกไม้ 3 ชนิดนี้

ดอกท้อ(plum flower)เป็นดอกไม้ที่คนเอเชียตะวันออกชื่นชอบมากมีดอกเป็นช่อออก สีชมพู ส่วนดอกโบตั๋น(peony)นั้นเป็นดอกไม้ที่เป็นคู่แข่ง มีลักษณะเป็นดอกใหญ่โดดๆ มีกลีบเป็นชั้นๆ มีหลากสีสวยสดงดงามมาก ดอกไม้ทั้งสองเป็นสิ่งที่กวีจีนเขียนถึงมาเป็นเวลานับพันๆ ปี

การที่คนไทยเรียกว่าดอกโบตั๋นเข้าใจว่ามาจากภาษาจีนที่เรียกว่า “หมู่ตาน” หรือภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่า “โบะตัง” ดอกโบตั๋น ในจีนจะบานระหว่างกลางเดือน เม.ย.ถึงกลางเดือนพ.ค. โดยมีกว่า1,200ชนิด ในสมัยราชวงศ์ถัง(ค.ศ. 608-907) ดอกโบตั๋นโด่งดังมาก พระนางบูเช็คเทียน(จักรพรรดินี้องค์เดียวของจีนค.ศ. 624-705) ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษโปรดให้มีการจัดสวนดอกโบตั๋นอย่างงดงามยิ่ง

ดอกท้อกับดอกโบตั๋นก่อให้เกิดประเด็นทางการเมืองแก่รัฐบาลจีนในปัจจุบันจนกระทั่งจีนไม่มีดอกไม้ประจำชาติ ในปี2003 มีคณะกรรมการเลือกดอกไม้ประจำชาติแต่ก็เงียบหายไปเพราะไม่อาจตัดสินใจได้

เรื่องมันก็คือในค.ศ. 1903ราชวงศ์ชิง(ราชวงศ์สุดท้ายของจีน พระนางซูสีไทเฮาทำให้ราชวงศ์นี้เป็นที่รู้จัก) ได้เลือกดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจำชาติ ต่อมาในค.ศ. 1929หลังจากราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้ม รัฐบาลจีนยุคใหม่ได้ประกาศให้ดอกท้อเป็นดอกไม้ประจำชาติ และในค.ศ. 1964 ไต้หวันก็ใช้ดอกท้อเป็นดอกไม้ประจำชาติ

จีนแผ่นดินใหญ่จึงยากที่จะเลือกดอกโบตั๋นเพราะราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นสาเหตุของความวุ่นวายและการล่มสลายของประเทศเคยเลือกแล้ว ครั้นจะเลือกดอกท้อ รัฐบาลจีนยุคใหม่และรัฐบาลไต้หวันซึ่งในอดีตเคยเป็นศัตรูกันก็ได้เลือกไปแล้ว อีกทั้งจะทำให้คนจีนจำนวนมากโดยเฉพาะในบริเวณเมืองซีอานและลั่วหยางซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงมายาวนานและเป็นศูนย์กลางของดอกโบตั๋นไม่พอใจ ดังนั้นจึงทำตามคติของเติ้งเสี่ยวผิงที่ว่าข้อขัดแย้งใดก็ตามจะสลายตัวไปด้วยเวลาและควรปล่อยให้คนรุ่นหลังเขาร่วมกันแก้ไขเอง จีนจึงไม่ตัดสินใจและไม่มีดอกไม้ประจำชาติอย่างเป็นทางการในทุกวันนี้

ซากุระ(cherry) ดูจะเป็นดอกไม้ที่คนไทยยุคปัจจุบันคลั่งไคล้ ถ่ายรูปกันมากที่สุดเพราะญี่ปุ่นซึ่งคนไทยชอบไปเที่ยวเป็นเจ้าของไปแล้วโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่น่าตำหนิเพราะจะหาคนชาติใดในโลกที่รักใคร่ ชื่นชม และผูกพันกับดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งดังที่คนญี่ปุ่นมีกับดอกซากุระนั้นเป็นไม่มี

สำหรับคนญี่ปุ่นการบานของดอกซากุระคือสัญญลักษณ์ของการเริ่มฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่อันงดงาม ประเพณี Hanami คือการฉลองใต้ต้นซากุระที่บานสพรั่งอย่างสนุกสนานด้วยเสียงเพลงและการดื่มกิน คนญี่ปุ่นจะออกจากบ้านไปชื่นชมความงามของดอกซากุระกันทุกปี ปัจจุบันในเมืองหนึ่งบานอยู่เพียง เท่านั้น ซึ่งแตกต่างไปจากสมัยโบราณที่ไม่บานพร้อมกันทั้งเมือง(ปัจจุบันเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่นบานไม่พร้อมกันแต่มักอยู่ระหว่างอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน มี.ค.ถึงวันแรกๆ ของเดือนเม.ย.ที่บานล่าสุดคือเมือง Sapporo ในฮอกไกโดที่บานประมาณต้นเดือนพ.ค.)

นักเขียนคนหนึ่งของญี่ปุ่นชื่อ Naoka Abeได้เขียนหนังสือชื่อ “The Sakura Obsession” (2019) และตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดในปัจจุบันดอกซากุระจึงบานพร้อมกันเป็นเวลาเพียง 8 วันอย่างคล้ายกันในทุกเมือง คำตอบก็คือ7 ใน10 ต้นเป็นสายพันธุ์เดียวกัน คือสายพันธุ์ที่มีชื่อว่าSomei Yoshino (โซเมอิ-โยชิโน)ซึ่งโตเร็ว ให้ดอกเต็มที่ในเวลา5ปี ดอกเป็นสีชมพูงดงาม แต่บานอยู่เพียง8วันและก็ร่วงพร้อมกันหมด

เธอพบว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่ให้ดอกสีขาวงดงามต้นโตเช่น พันธุ์Taihaku พันธุ์Daikoku ซึ่งมีดอกสีชมพูหรือ สายพันธุ์Yama-zakura ฯลฯ และอีกนับร้อยสายพันธุ์ได้สูญหายไปจากญี่ปุ่นในระหว่างกลางทศวรรษ1860 จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ด้วยเหตุผลทางการเมือง

ญี่ปุ่นในกลางทศวรรษ1860 หรือเริ่มยุคสมัยเมจิ ลัทธิทหาร(Militarism)ขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนสถานะขององค์จักรพรรดิ์อันนำไปสู่สงครามกับรัสเซีย จีน และสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

ซากุระ สายพันธุ์โซเมจิ-โยชิโน มีลักษณะพิเศษคือ บานพร้อมกันและร่วงพร้อมกันมีสีสันชมพูงดงาม โตเร็วจนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตนให้แก่ชาติและองค์จักรพรรดิ กล่าวคือมีความสามัคคีจนสามารถตายพร้อมกันได้เพื่ออุดมการณ์รัฐบาลสนับสนุนให้ปลูกอยู่พันธุ์เดียวตลอดจนถึงค.ศ. 1935โดยละเลยและทอดทิ้งสายพันธุ์อื่นๆจนสูญหายไปจากญี่ปุ่น

ABE ได้ค้นคว้าและพบว่าหากไม่มีคนอังกฤษชื่อ Collinwood Ingram (ค.ศ. 1880-1981) ซึ่งเป็นคนรักต้นซากุระและได้นำสายพันธุ์จำนวนมากที่คนญี่ปุ่นทอดทิ้งไปปลูกไว้ที่อังกฤษแล้ว ป่านนี้ สายพันธุ์ซากุระที่งดงามและมีอยู่หลากหลายในอดีตก็คงสูญพันธุ์ไปหมด

ซากุระสายพันธุ์โซเมจิ-โยชิโนแพร่กระจายอยู่ทั่วเกาะญี่ปุ่นในปัจจุบันจนทำให้เกิดการบานในเวลาสั้น ไม่มีการสลับกันบานไม่มีดอกและสีที่แตกต่างกัน โดยอยู่ในป่าในเขาในสวนสาธารณะจากหลายสายพันธ์ดังที่เคยเป็นในอดีต

การกลมกลืนกันหมดของต้นซากุระสะท้อนค่านิยมของคนญี่ปุ่นในเรื่องการไม่ชอบความแปลกแยก การเป็นชนชาติที่มีคนชาติพันธุ์เดียวกันอยู่ถึง98% ในประชากร127ล้านคนทำให้ความแปลกแยกเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด คนญี่ปุ่นจะแต่งกายคล้ายกัน มีมารยาทและวัตรปฏิบัติในการดำเนินชีวิตคล้ายกัน หากใครที่มีพฤติกรรมแปลกออกไปจากกรอบของความกลมกลืนก็จะกลายเป็นคนที่อยู่ในสังคมได้อย่างยากลำบาก

มนุษย์นอกจากจะพยายามทำให้ธรรมชาติสอดคล้องกับวิถีการดำรงชีพของตนซึ่งตรงข้ามกับสัตว์แล้วยังใช้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมมารับใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองอีกด้วย และในกระบวนการกระทำเช่นนี้ก็ทำร้ายความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งไปด้วยอย่างนึกไม่ถึง