ต้องสร้างทีมงาน ให้อยู่ได้ในทุกสภาวะ!
ไม่มีใครที่จะสามารถ บ่งบอกอนาคต สภาวะทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยได้อย่างแม่นยำทุกเรื่องทุกประเด็น
สิ่งที่บรรดา กูรูผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พอจะทำได้ก็คือ คาดการณ์ถึงความน่าจะเป็น ซึ่งถูกบ้าง ใกล้เคียงบ้าง ผิดบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
ยิ่งในยุคปัจจุบัน เป็นเรื่องของโลกยุคใหม่ การเปลี่ยนแปลงยิ่งเร็วและแรง คาดเดายากยิ่งขึ้น ในส่วนของประเทศไทย หลังเลือกตั้งในปีหน้า การเมืองจะส่งผลกระทบด้านบวกหรือด้านลบมากกว่ากันก็ยากที่จะฟันธง
แต่สิ่งที่คนทำธุรกิจทั่วไป รู้และต้องย้ำกับตัวเองเสมอว่า อย่ารอสภาวะการเมืองนิ่ง อย่าพึ่งพิงรอการช่วยเหลือจากภาครัฐ(ยกเว้นกลุ่มทุนใหญ่ ที่มีสายสัมพันธ์กับการเมืองที่จำเป็นต้องเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยกัน) ทุกคนทุกธุรกิจต่างก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงให้มากที่สุด เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีอยู่ 3 เรื่องที่ เป็นเรื่องที่ “ไม่ควรทำ” และเรื่องที่ “ควรทำ” เกี่ยวกับทีมงานของท่านที่อยากจะฝากไว้ให้คิด เพราะ...
บางเรื่อง หลายๆที่มักจะทำเพื่อหวังผลระยะสั้น หรือทำด้วยความตื่นตระหนก แต่ส่งผลร้ายในระยะยาว
บางเรื่องไม่ยากที่จะทำ แต่ทำแล้วส่งผลดี.....!?
เรื่องที่ “ง่ายที่สุด” ที่บรรดาผู้นำองค์กร หรือผู้จัดการที่บริหารหน่วยงานมักจะรีบตัดสินใจและลงมือทันที ก็คือ การเพิ่มคนในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจดีและองค์กรมีการเติบโต ขยายตัว....
อ่านดูแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาวะนั้นอยู่แล้วใช่มั๊ยครับ ? ในเมื่อองค์กรเติบโต งานมีมาก คนก็ต้องเพิ่มมากขึ้น.....อย่าด่วนสรุปสิครับ..อ่านให้จบแล้วคิดต่ออาจมีมุมมองใหม่ๆก็ได้นะครับ!
เรื่องที่ “ยากและลำบากใจมากที่สุด” ที่บรรดาผู้นำและผู้จัดการ มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และ “ลงมือกระทำ”กับพนักงานแทบจะทันทีก็คือ...
เมื่อสภาวะเศรษฐกิจแย่หรือองค์กรเริ่มมีจำนวนคนมากกว่าปริมาณงาน หรือมีปัญหาอะไรต่างๆก็แล้วแต่....ก็คือ การลดคน ลดพนักงาน ลดทุกชั้น ทุกแผนก จะลดแหลกทุกแผนกแบบในห้างกี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ความหนักหนาของสถานการณ์ ! (แต่ถ้าลองคิดดีๆ ปัญหาใหญ่ๆส่วนมากที่ทำให้องค์กรวิกฤติ เกิดจากพนักงานระดับปฏิบัติการ หรือเกิดจากระดับบริหาร ? )
ทั้ง 2 เรื่อง ถ้าลองคิดต่อ....
เรื่องแรกที่ว่าง่าย คือการเพิ่มคนตามสภาวะการเติบโต มักจะกลายเป็นเรื่องที่”มักง่าย” ด้วยการเน้นการเพิ่มคนในเชิงปริมาณ...รับคนอย่างลวกๆ แบบสุกเอา เผากิน และมักจะอ้างว่าไม่มีเวลาในการฝึกฝน พัฒนา รับมาแล้วให้เรียนรู้แบบฉาบฉวย ไม่กี่วัน หรือบางที่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ให้ลงไปลุยงานเลย !
ผลที่ตามมาก็คือ จำนวนพนักงานมีมาก แต่คุณภาพของงานต่ำ และแทนที่พนักงานใหม่ที่รับมาจะช่วยสร้างงาน ก็มักจะสร้างปัญหาให้ตลอด เพราะความไม่พร้อมในการ รับและสร้างทีมงาน!
ส่วนเรื่องที่สอง...ที่ว่ายากและลำบากใจ ลองคิดดีๆ ส่วนมากสาเหตุก็เกิดจาก เรื่องแรกที่มักง่ายในการรับคน เมื่อมีคนไร้คุณภาพมากกว่าคนที่มีศักยภาพ ถึงเวลาก็ต้องลงมือ ลดคนแบบฉุกละหุก และเป็นการลดขวัญกำลังใจของคน(ที่ยังไม่รู้อนาคต)ว่าหวยจะออกที่ใครบ้างอีกต่างหาก !
เราอาจจะเรียก เรื่องที่ยากและลำบากใจแบบนี้ว่าเป็นเรื่อง ที่ มักจะง่ายในการตัดสินใจเพราะอาศัยความมักง่าย ก็น่าจะได้ใช่มั๊ยครับ?
เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ “ท้าทาย”มากที่สุด และเป็นเรื่องที่ “ควรทำมากที่สุด”เช่นเดียวกัน !
ก็คือ การบ่มเพาะ หล่อหลอมคนที่เรามีอยู่ และสร้างกระบวนการบ่มเพาะหล่อหลอมคนใหม่ที่จะเข้ามา โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยรูปแบบจะเน้นทั้งการ Training และ การ Coaching อย่างเป็นระบบ ในทุกระดับ และทำอย่างต่อเนื่อง ทำจนเป็นวัฒนธรรมของหน่วยงาน ขององค์กร ให้เป็น Coaching Culture Company !
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและวัดฝีมือของ ผู้นำ และ ผู้จัดการในยุคปัจจุบันและอนาคต.....ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพของคนที่เรามีอยู่ โดยแทบไม่จำเป็นต้องเพิ่มคน หรือถ้าต้องเพิ่มคนก็จะเพิ่มในจำนวนที่น้อย เท่าที่จำเป็น และเน้นคุณภาพ !
และในทางกลับกัน....แทบไม่จำเป็นต้องลดคน เพราะสามารถหล่อหลอมคนที่มีให้ผ่านสภาวะวิกฤติต่างๆได้ และโดยระบบแล้ว....การ Coaching ที่มีประสิทธิภาพและทำอย่างต่อเนื่อง..จะช่วยลด “คนที่ไม่ใช่” ออกไปจากแต่ละหน่วยงานอยู่แล้ว....เพื่อให้คนที่มีอยู่....คือคนทีใช่สำหรับองค์กร และอยู่ได้ในทุกสภาวะ!
สรุปแล้ว....เลิกกระทำกับพนักงานใน 2 เรื่องแรก แล้วลอง กระทำกับพนักงานในเรื่องสุดท้าย แล้วทีมงานของท่าน จะช่วยกน่วยงานหรือองค์กรของท่าน อยู่ได้ในทุกสภาวะ น่าจะดีกว่ามั๊ยครับ?!