เฟสบุ๊ค เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 14 ปี ในการสร้างมูลค่ากว่า 13 ล้านล้านบาท
และในการเข้าถึงผู้ใช้งานกว่า 2,000 ล้านคน หรือกว่า 30% ของประชากรโลก และที่สำคัญ ได้กลายมาเป็นสื่อดิจิทัล ที่ทรงอานุภาพที่สุด ในหลากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
แต่ใครจะเชื่อว่า เฟสบุ๊ค จะต้องมาเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะด้านการตลาด ด้านข้อมูลส่วนบุคคล และด้านการเมือง อย่างที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่สิ่งเหล่านี้ก็ได้สะท้อนอยู่ในราคาหุ้นของเฟสบุ๊คที่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว
1. ด้านการตลาด
เฟสบุ๊ค กำลังเริ่มสูญเสียผู้ใช้งานในกลุ่มเยาวชน ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้งานผู้ใหญ่ กลับกลายมาเป็นผู้ใช้งานหลักของเฟสบุ๊ค
ข้อมูลวิจัยล่าสุดของ สำนักวิจัยพิว พบว่า 44% ของเยาวชนอเมริกันอายุ 18 - 29 ปี ได้ลบแอพของเฟสบุ๊คออกจากสมาร์ทโฟน ใน 12 เดือนที่ผ่านมา
การสูญเสียผู้ใช้งานในระดับเยาวชนของเฟสบุ๊ค มิได้เริ่มต้นจากแคมเปญ #DeleteFacebook อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ ข้อมูลส่วนบุคคลของเฟสบุ๊ค และการแผยแพร่ข่าวปลอม ที่เฟสบุ๊คยังไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ยังคงมีปัจจัยด้านพฤติกรรม ที่ประชากรเจนเนอเรชั่นใหม่ มีความต้องการที่จะแปลกแยกจากประชากรจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า
หากเทรนด์ดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงเฟสบุ๊คก็จะกลายเป็นสังคมดิจิทัลของผู้สูงอายุ และนำไปสู่การสูญเสียผู้ใช้งานไปในที่สุด
ปัญหาด้านการตลาด อาจเป็นวิกฤติการณ์ที่เล็กที่สุดของเฟสบุ๊คในยุคปัจจุบัน
2. ด้านข้อมูลส่วนบุคคล
วิกฤตการณ์ด้านข้อมูลส่วนบุคคลของเฟสบุ๊คได้เริ่มต้น ตั้งแต่มีข่าวของ เคมบริดจ์แอนะลิติกา บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติอังกฤษ ที่ได้ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานเฟสบุ๊ค 87 ล้านคน อย่างไม่ได้รับอนุญาต เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง โดยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้เพื่อจัดการความคิดเห็นสาธารณะระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้เฟสบุ๊คส่วนหนึ่ง ไม่พอใจกับนโยบายของเฟสบุ๊คต่อกรณีของ เคมบริดจ์แอนะลิติก จึงนำไปสู่แคมเปญ #DeleteFacebook อันโด่งดัง เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
ทั้งยังมีการเรียกร้องให้ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ลาออก แม้กระทั่งคู่แข่งอย่างเช่น ทิม คุ๊ก CEO ของแอปเปิล ยังได้ประนามนโยบายด้านข้อมูลส่วนบุคคลของเฟสบุ๊ค จนนำไปสู่ข่าวที่ว่า มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ได้ออกคำสั่งให้พนักงานไม่ใช้ ไอโฟน
ล่าสุด ยังได้มีการนำเสนอข่าวว่า เฟสบุ๊ค ได้ว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ เพื่อนำเสนอข่าวในแง่ลบ ที่เกี่ยวกับคู่แข่ง อย่างเช่น แอปเปิล และ กูเกิล เพื่อกลบกระแสข่าวในแง่ลบ ที่เกี่ยวกับเฟสบุ๊ค การเปิดโปงดังกล่าว กลับยิ่งเป็นผลร้ายกับเฟสบุ๊ค
3. ด้านการถูกใช้เป็นเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เฟสบุ๊ค ยังได้ถูกกล่าวหาว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังมีการสืบสวนว่า รัสเซีย ได้ใช้เฟสบุ๊ค เป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหา ที่มีทั้งจริงและไม่จริง เพื่อจัดการความคิดเห็นสาธารณะ และสนับสนุนให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี
ภายใต้การกดดัน เฟสบุ๊ค ได้เปิดเผยว่า เนื้อหาต่างๆ ของรัสเซีย ได้ถูกรับชมโดยผู้ใช้งาน 126 ล้านคน
วิกฤตการณ์นี้ เป็นตัวอย่างที่ร้ายแรงที่สุด ของปัญหาข่าวปลอมบนเฟสบุ๊ค ที่สามารถมีอิทธิพลต่อความมั่นคงของประเทศ เช่นการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้
ทั้งนี้อาจไม่ใช่ความผิดของเฟสบุ๊ค ที่วางตัวเป็นแพลตฟอร์มและไม่ใช่พับลิชเชอร์ ที่จะมีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหา
สถานการณ์ของเฟสบุ๊คมีความน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่มีเพียงแค่ว่า เฟสบุ๊คจะผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างไร หรือปัญหาของสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นมา จะสามารถถูกแก้ไขได้อย่างไร
แต่ยังจะสะท้อนถึงสิ่งที่สาธารณชนและผู้ใช้งานเฟสบุ๊คในต่างประเทศคำนึงว่ามีความสำคัญ และเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีการพูดถึงในประเทศไทยเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ