Amazon Bank แบงค์กิ้งจากดิจิทัล เจ้าตำรับกำลังมา..!!

มูลค่าตลาดของอเมซอนได้พุ่งขึ้นแตะตัวเลขหนึ่งล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก นับเป็นบริษัทที่สองรองจากแอปเปิ้ลที่ได้ชื่อเป็น Trillion Dollar Company ความสำเร็จของอเมซอนย่อมแสดงให้เห็นถึงโมเดลธุรกิจที่เดินหน้าอย่างถูกทิศทาง

ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการที่ดีเกินคาดจากคลาวน์แพลตฟอร์มอย่าง Amazon Web Services (AWS) และเครื่องแอคโค่ (Echo) เจ้าแห่งเทรนด์เวอร์ชวลแอสซิสเทนท์ (Virtual Assistant) ที่มาพร้อมกับอเล็กซา (Alexa) จนเป็นที่สุดแห่งความนิยมขณะนี้ รวมถึงรายได้จากการโฆษณา (Amazon Advertising) กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สองของปี 2018 จึงเชื่อได้ว่าธุรกิจของอเมซอนคงไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่กำลังใช้ฐานลูกค้าและใช้บริการล้อมนวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่แตกแขนงอย่างไม่หยุดนิ่ง

 

ลูกค้าอยู่ในมือ

อเมซอนมีลูกค้าพรีเมี่ยมขาประจำที่เป็นสมาชิก “อเมซอน ไพร์ม (Amazon Prime)” กว่า 100 ล้านรายที่จ่ายค่าสมาชิกปีละ 119 ดอลลาร์หรือเดือนละ 12.99 ดอลลาร์ เพื่อรับประโยชน์จากการส่งสินค้าฟรีใน 2 วัน (Free Two-Day Delivery) หรือการส่งฟรีในวันเดียวในเมืองใหญ่กว่า 8,000 เมือง (Prime Free Same-Day และ One-Day Delivery) และยังเพิ่มการส่งภายใน 2 ชั่วโมงสำหรับของชำและอาหารสด (Two-Hour Delivery) ในบางเมืองใหญ่ นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถรับชมวิดีโอสตรีมมิ่ง (Video Streaming) ของภาพยนตร์และรายการทีวีกว่า 10,000 เรื่อง ตลอดจนการรับฟังดนตรีฟรี (Music Streaming) ถึงสองล้านเพลง โดยประมาณว่าสมาชิกไพร์มใช้จ่ายรายละ 1,400 ดอลลาร์ต่อปี ในปี 2017 อเมซอนจัดส่งพัสดุให้กับสมาชิกไพร์มกว่า 5,000 ล้านชิ้น ซี่งหากนับรวมลูกค้าทั้งหมดของอเมซอนกว่า 300 ล้านรายแล้วการเสนอขายสินค้าและบริการใหม่อย่างเช่นดิจิทัลแบงค์กิ้งกับลูกค้าจึงดูไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอเมซอน

 

ความท้าทายของธนาคาร

จากข่าวลือหนาหูถึงการที่อเมซอนกำลังคุยกับธนาคาร J.P. Morgan Chase และธนาคาร Capital One ถึงความเป็นไปได้ในการออกผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับบัญชีกระแสรายวัน (Checking Account) แบบดิจิทัลเพื่อบริการต่อลูกค้า ได้เร่งให้อุตสาหกรรมการเงินการธนาคารตื่นตัวด้านบริการดิจิทัลอย่างมาก เพราะทราบดีว่าคู่แข่งระดับอเมซอนย่อมไม่สามารถเพิกเฉยได้ และอเมซอนอาจไม่ได้หยุดอยู่เพียงบัญชีกระแสรายวัน แต่อาจขยายบริการไปถึงการกู้ยืมเงิน การประกันหรือกระทั่งการลงทุน

แต่การเปิดธุรกิจธนาคารในอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากกฎหมายและข้อบังคับที่ต้องการแยกธุรกิจธนาคารออกจากธุรกิจอื่น ถึงกระนั้นอเมซอนก็ได้เริ่มให้บริการทางการเงินกับลูกค้าผ่านทางอเมซอนเครดิตการ์ด (Amazon Credit Card) และ Amazon Cash ที่คล้ายกับเดบิตการ์ดที่ใช้ชำระเงินแทนเงินสดกับเว็บไซต์อเมซอนหรือร้านค้าที่เข้าร่วม เช่นร้านสะดวกซื้อ 7/11 กว่า 8,000 แห่ง ช่วยให้ลูกค้าที่ไม่มีเครดิตการ์ดสามารถจับจ่ายสินค้าได้สะดวก นอกจากนี้ในประเทศอินเดียอเมซอนได้เปิดให้บริการรับฝากเงินสดเข้ายังระบบอเมซอนเพย์ (Amazon Pay) ถึงที่บ้าน ซึ่งเงินในอเมซอนเพย์สามารถนำไปใช้จ่ายในการซื้อสินค้าในอเมซอนหรือจ่ายค่าสาธาณูปโภค

ผลสำรวจของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company จากกลุ่มตัวอย่าง 6,000 รายที่เป็นทั้งลูกค้าไพร์ม ลูกค้าทั่วไปและที่ไม่ใช่ลูกค้าของอเมซอนพบว่า หากอเมซอนให้บริการทางการเงินและบริการในลักษณะคล้ายบัญชีกระแสรายวัน (Checking Account) เพื่อแลกกับการได้รับเงินสดคืน 2% จากการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์อเมซอน 65% ของสมาชิกไพร์มสนใจเข้าร่วม ซึ่งสูงกว่าลูกค้าทั่วไปที่สนใจที่ 43% และที่ไม่ใช่ลูกค้าที่ 37% โดยเฉพาะกับกลุ่มคนวัย 18 ถึง 34 ที่ให้ความสนใจในบริการจากอเมซอนถึง 70%

การใช้จ่ายในแพลตฟอร์มของอเมซอนอาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะเดียวกับที่เกิดในแพลตฟอร์มของ Alibaba และ Tencent ผ่าน Alipay และ WeChat Pay ซึ่งประสบความสำเร็จจนผลักดันเศรษฐกิจของจีนไปสู่ Cashless Society หากอเมซอนได้รับอนุญาตให้เปิดบริการธนาคารในอเมริกาย่อมมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการเงินการธนาคารอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ความสัมพันธ์สร้างโอกาส

การจับจ่ายซี้อสินค้าในชีวิตประจำวันเป็นธรรมชาติของผู้คน การที่อเมซอนกลายเป็นตลาดออนไลน์ที่ผู้คนเริ่มต้นการค้นหาของใช้ประจำวันและสิ่งของมากมายในครอบครัวและธุรกิจ ย่อมเปิดโอกาสให้อเมซอนสามารถเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการในชีวิตประจำวันได้อย่างลึกซื้ง ด้วยความเป็นหนึ่งในผู้นำนวัตกรรมดิจิทัล อเมซอนจึงสามารถนำเสนอสินค้าหรือแบรนด์ที่ถูกต้องตรงใจลูกค้าราวกับเดินจับจ่ายเคียงข้างลูกค้าชนิดไม่คลาดสายตา ความเข้าใจในพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าและบริการที่เป็นเลิศของอเมซอนทำให้การขยายบริการใหม่ไปยังลูกค้าไม่ใช่เรื่องยาก และกลายเป็นจุดแข็งของอเมซอนที่อุตสาหกรรมธนาคารไม่อาจเทียบเคียงได้ในเวลานี้