มองโลกในแง่ดี : ข้อคิดจากทีมหมูป่า

มองโลกในแง่ดี : ข้อคิดจากทีมหมูป่า

ผู้ที่ได้ รับชมหรือรับฟังการถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ของทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คนรวมถึงคุณหมอภาคย์และ พี่ๆหน่วยซีลอีกสามท่าน

พร้อมทั้งคุณหมอและนักจิตวิทยาจาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 คงได้เห็นถึงแนวคิดและความใสซื่อบริสุทธิ์ของน้องทีมหมูป่าและโค้ชเอก

สิ่งนี้ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน รวมถึงตัวดิฉันเอง ต้องกลับมาคิดถึงแนวความคิดและพฤติกรรมของตนเอง

สมัยที่ดิฉันเรียนวรรณกรรมและมีนักปรัชญาตะวันตก พูดถึงคนเราถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม (Society corrupts people.) ก็เพิ่งมาถึงบางอ้อน่ะตอนนี้เอง

เมื่อเราโตขึ้นอยู่ในบริบทที่สังคมมีความคาดหวัง มีแนวคิด และมีวิถีให้เราปฏิบัติมานานเข้า เราก็จะลืมความใส ความซื่อ ความบริสุทธิ์ ของความคิดที่เราเคยมีสมัยที่เราเป็นเด็ก

การคัดเลือกน้องๆที่จะออกจากถ้ำ โดยคำนึงถึงว่าบ้านใครอยู่ไกลก็ให้ออกไปก่อนเพราะคาดว่าเมื่อออกไปจะถีบจักรยานกลับบ้านของทีมหมูป่านั้น ทำให้เราได้ย้อนคิดว่า สิ่งที่ทำให้ทีมหมูป่ามีสภาพจิตใจแข็งแกร่งเกิดจากการมองโลกในแง่ดีและความใสซื่อบริสุทธิ์ของพวกเขานั่นเอง

ผู้ใหญ่อย่างเรา ผ่านโลกมามาก ทำอะไรก็มักจะต้องรอบคอบ คิดถึงผลต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และบางทีก็คิดเลยเถิดจินตนาการไปมากมายจนทำให้ตนเองมองโลกในแง่ร้ายและท้อถอย

การมองโลกในแง่ดี หรือ Optimism หรือหากเป็นคำคุณศัพท์ ก็ใช้ว่า optimistic หมายถึงการมีทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆในแง่บวก มีความเชื่อ ความหวังว่าผลจะออกมาเป็นบวก เป็นไปตามที่คาดหวังหรือต้องการ

Optimism มาจากรากศัพท์ละตินว่า optimum ซึ่งแปลว่า ดีที่สุด(best) หมายถึงการคาดหวังผลลัพธ์ที่ออกมาว่าจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในสถานการณ์นั้นๆ

ซึ่งความคิดและทัศนคติแบบนี้ค่ะ ที่ทำให้น้องๆทีมหมูป่าและโค้ชเอก มีกำลังใจที่จะต่อสู้ ที่จะอยู่รอด ที่จะออกมาอย่างปลอดภัย สิ่งนี้ (ผนวกกับ ความมุ่งมั่นของทีมช่วยเหลือ แรงใจ คำภาวนาของผู้คนทั่วโลก) ได้ทำให้ผลของการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี ออกมาราวปาฏิหาริย์ แม้ทีมผู้เชี่ยวชาญดำน้ำจากต่างประเทศยังถึงกับพูดออกมาว่า เสมือนเป็นปาฏิหาริย์

หากผู้ใหญ่อย่างเรา สามารถนำการมองโลกในแง่ดี นำเอาความคิดและทัศนคติในเชิงบวก ของทีมหมูป่ามาเป็นตัวอย่าง มาเป็นส่วนผสมในการดำรงชีวิต เชื่อว่า ผู้ใหญ่อย่างเรา จะมีความสุขเพิ่มขึ้น

มีการพิสูจน์มาแล้วค่ะ ได้มีการทำวิจัยและพบว่า การมองโลกในแง่ดี มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ 5-10% คือคนที่มีทัศนคติเชิงบวก จะไม่ค่อยเป็นโรคขี้กังวล หรืออารมณ์แปรปรวน หรือโรคซึมเศร้า เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านทุกท่าน ต้องพยายามมองโลกในแง่ดีนะคะ ต้องมีความเชื่อและความหวังว่า ผลจะออกมาดีที่สุด

แต่หวังอย่างเดียวโดยไม่ทำ ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลค่ะ ต้องทำให้ดีที่สุดและต้องรอบคอบด้วย ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะมีพลังในการทำสิ่งยากๆให้สำเร็จ และใจเราก็เป็นสุขด้วย

วันนี้จะเขียนสั้นๆเพียงเรื่องเดียว และขอจบด้วยคำพูดเกี่ยวกับการมีทัศนคติเป็นบวก และการมองโลกในแง่ดีค่ะ

“คนมองโลกในแง่ร้ายเห็นอุปสรรคในทุกโอกาส

คนมองโลกในแง่ดี เห็นโอกาสในทุกอุปสรรค”

- เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

“การมองโลกในแง่ดีเป็นชะตากรรมที่นำไปสู่การบรรลุผล

ไม่มีอะไรจะสำเร็จได้ หากไม่ได้ทำด้วยความหวังและความมั่นใจ”

- เฮเลน เคลเลอร์ (นักเขียนชาวอเมริกันผู้พิการทั้งตาบอดและหูหนวก)

“การมองโลกในแง่ดีเป็นความบ้าที่จะยืนกรานว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้เราจะทุกข์ระทม”

- วอลแตร์ (นามปากกาของ ฟร็องซัว มารี อารูเอ) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส

“การมองโลกในแง่ร้าย ไม่เคยชนะสงครามใดๆ”

- ประธานาธิบดี ไอเซนฮาวเวอร์ ของสหรัฐอเมริกา

“ในการตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือดี ข้าพเจ้าขอตอบว่า

ความรู้ของข้าพเจ้าเป็นแง่ร้าย แต่ความพยายามและความหวังของข้าพเจ้า เป็นแง่ดี”

-อัลเบิร์ต ชไวท์เซอร์ นักเทววิทยาและนักปรัชญา รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ชาวเยอรมนี/ฝรั่งเศส