ทรัมพ์เล่นการเมือง

ทรัมพ์เล่นการเมือง

9 พฤษภาคม 2560 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ มีคำสั่งด่วนถึงนายเจมส์ โคมี่ ให้พ้นจากตำแหน่ง

ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ทันที

“...หนังสือรัฐมนตรีและรมต.ช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอปลดท่านออกจากตำแหน่ง..อนุมัติตามเสนอ ท่านพ้นจากตำแน่งทันที.. ขอบคุณที่ได้ยืนยันไว้สามวาระว่า ผมไม่อยู่ภายใต้การสืบสวนสอบสวน.. เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอที่ว่า ท่านไม่มีสมรรถภาพเป็นผู้นำที่มีผลดี..” สมาชิกวุฒิสภาและรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตทุกคนและพรรครีพับลิกันบางคน ต่างออกมาโจมตีทรัมพ์ว่า “ปลดโคมี่อย่างไม่เหมาะสม” เพราะน่าจะให้เวลาโคมี่ได้พิจารณายื่นใบลาออกเอง และไม่สมควรอ้างอิงข้อเสนอของรมต.ยุติธรรมที่มีมลทินติดต่อกับเอเย่นต์รัสเซียมาก่อน ส่วนบาปอุกฤษฏ์ที่ทรัมป์ประทับตราไว้กับโคมี่ คือ โคมี่สืบสอบความผิดในการใช้อีเมลโดยนางคลินตัน แบบขยักขย่อนไม่เฉียบขาด นั้น เป็นเพียงข้ออ้าง

จริงๆแล้ว โคมี่คือ “หนามยอกอก” ของทรัมป์ เพราะมีหน้าที่สืบสอบดูว่า พฤติกรรมหาเสียงเลือกตั้งโดยทีมงานของทรัมป์ มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลรัสเซีย บ่อนทำลายคะแนนนิยมของนางฮิลลารี คลินตัน จนพ่ายแพ้ทรัมป์ไป หรือไม่? 

ทั้งนี้ อาจทำให้ทรัมป์รู้สึกหนาวๆร้อนๆ ดังนั้น คำสั่งปลดโคมี่อาจเป็น “การตัดไฟแต่ต้นลม” ส่อถึง “พฤติกรรมขัดขวางกระบวนการยุติธรรมที่มีความผิดทางกฎหมายขั้นร้ายแรง” นิวยอร์คไทมส์รายงานว่า 7 วันจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์เชิญโคมี่ไปรับประทานอาหารค่ำที่ไวท์เฮาส์สองต่อสอง โคมี่เล่าให้ผู้ร่วมงานสองคนฟังว่า บนโต๊ะอาหาร ทรัมป์เล่าเรื่องเลือกตั้ง/ฝูงชนใหญ่โตที่เข้าฟังคำปราศัยหาเสียง แล้ววกเข้าถามตนว่า สัญญาได้ไหมว่าจะจงรักภักดีต่อทรัมป์ ตนตอบว่าจะซื่อสัตย์ต่อทรัมป์เสมอ แต่หากจะให้เป็นที่พึ่งทางการเมือง นั้น ทำไม่ได้ แล้วทรัมป์ก็วกถามเรื่องจงรักภักดีอีก ตนก็ยืนยันว่า จะมอบความซื่อสัตย์ให้ได้ ทรัมป์ไล่เลียงถามต่อว่า เป็นความจงรักภักดีที่ซื่อสัตย์ ใช่ไหม? ตนตอบว่าจะมอบสิ่งนั้นให้ได้ในการนี้ ทรัมป์ออกมากล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องจงรักภักดีเลย

สามวันต่อจากคำสั่งปลด ทรัมป์กล่าวเตือนโคมี่ผ่านสื่อสังคมทวิทเตอร์ว่า จงอย่าปล่อยข่าวเชิงติดลบต่อตนออกมา..หวังว่าคงไม่มีเทปลับบันทึกเสียงสนทนาหนึ่งต่อหนึ่งหลุดออกมาให้ตนใช้โต้ตอบได้ ทางไวท์เฮาส์ไม่ยืนยันว่า ทรัมป์ได้แอบบันทึกเสียงผู้มาเยือนทั้งหลายไว้หรือไม่

พรรคเดโมแครตได้ทำหนังสือถึงไวท์เฮาส์เมื่อ 12 พฤษภาคมนี้ เรียกร้องให้ทรัมป์ส่งมอบเทปบันทึกเสียง-หากมี-ที่ได้ทำไว้ขณะสนทนากับโคมี่ เพราะหากทรัมป์ได้ทวิทขู่กรรโชกคุกคามพยานโคมี่ด้วยเจตนารมณ์ที่จะโน้มน้าว ประวิง หรือป้องกันมิให้พยานให้การต่อทางการจริง ก็เท่ากับได้ประกอบอาชญากรรมแล้ว

เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภาได้เดินหน้าออกหมายศาลสั่งให้นายไมเกิล ฟลินน์ อดีตนายพล/อดีตหัวหน้าที่ปรึกษา/อดีตทีมงานหาเสียงของทรัพป์ ไปให้การต่อวุฒิสภาและแสดงหลักฐานการเงินเกี่ยวกับการติดต่อกับเอเย่นต์รัสเซีย โดยเฉพาะที่สถานตากอากาศเร้นลับแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งหน่วยข่าวกรองอังกฤษและฮอลแลนด์ได้รายงานไว้กับสหรัฐ หากพาดพิงถึงผู้ใด ก็จะเชิญผู้นั้น แม้กระทั่งทรัมป์ ไปให้การทันที

ใน 100 วันแรกที่ไว้ทเฮาส์ ทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสก่อนโคมี่มาแล้ว 2 คน ด้วยเหตุผลขาดความจงรักภักดี ซึ่งตนถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งและสามารถใช้เป็นเหตุปลดออกได้โดยสะดวกตามวัฒนธรรมการพาณิชย์ ทว่า ในวัฒนธรรมการเมือง ศัตรูถาวรไม่มี มีแต่มิตรชั่วคราว ส่วนโคมี่ก็มิใช่นักการเมือง แต่นั่งตำแหน่ง “หัวหน้าเอฟบีไอ” ที่กฎหมายบัญญัติให้มีช่วงอายุทำงาน 10 ปี ซึ่งทรัมป์ไม่สนใจ แถมใช้อำนาจเผด็จการเพื่อตัวเองสั่งปลดออกก่อนกำหนด 6 ปี

นายไมเคิล เฮเดิ้น อดีตพลเอกสี่ดาว/อดีตผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง กล่าวว่า “จงอย่าฟังคำพูดของทรัมป์ แต่จงเฝ้าดูพฤติกรรมของทรัมป์ การปลดโคมี่อย่างไม่เหมาะสมก่อนพูดคือพฤติกรรมของนักเผด็จการที่ใช้ประชานิยมเป็นฐานอำนาจ ซึ่งมีอยู่ในประเทศเล็กๆทั่วโลก ประเทศอย่างสหรัฐไม่เคยมีปธ.แบบนี้มาก่อน”

ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า “เงินไม่เคยเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับผม เงินมีไว้เพื่อบ่งบอกคะแนนสูงต่ำเท่านั้น ความตื่นตาตื่นใจจริงๆอยู่ที่การเล่นเกม” สะท้อนว่าทรัมป์คือนักต่อรองที่บ้าบิ่นยิ่งคนหนึ่ง ตลอด 30 ปีที่แล้ว ทรัมป์มีคคีฟ้องร้องที่เป็นโจทก์บ้าง จำเลยบ้าง รวม 4,095 คดี ตั้งแต่คดีทะเลาะกับลูกค้าในบ่อนกาสิโนตน คดีอสังหาริมทรัพย์นับล้านๆดอลลาร์ ตลอดจนคดีหมิ่นประมาทตนในขณะเป็นนักธุรกิจ

ระบอบประชาธิปไตยที่มอบอำนาจเลือกตั้งไว้กับประชาชน จะมีหลักประกันอำนวยผลดีได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองทุกคนบรรลุอรหันต์แล้ว ส่วนทรัมป์จะใช้ระบอบนี้นำพาสหรัฐสู่ความรุ่งเรือง ทรงตัว หรือหายนะในระดับใด นั้น โอบามาเคยกล่าวปลอบใจไว้ว่า สหรัฐจะยังอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีก 4 ปี

โดยที่พฤติกรรมเลือกตั้งเกิดจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล ในทำนองเดียวกับพฤติกรรมซื้อบริการ/สินค้า คือ เรามักตัดสินใจซื้อโดยยังมีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่พึงมี จึงมักซื้ออย่างไม่ชาญฉลาดรอบคอบนัก หลักวิชาจิตวิทยาชี้แนะไว้ว่า เรามักซื้อด้วยจิตใต้สำนึก เมื่อรู้ตัวว่าได้ซื้อมาผิดๆ ก็มักสรรหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าประการขึ้นมาปกป้องตัวเอง ส่งผลให้เลือก/ซื้อผิดๆได้อีกเป็นซ้ำสอง นักการเมืองหน้าเดิมๆจึงมักวกวนกลับเข้าเวทีการเมืองได้อีก 

ไทยก็ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อจุดบอดนี้แม้ว่าทรัมป์จะอยู่ผิดที่ เพราะกำลังนำวัฒนธรรมการพาณิชย์ ที่มุ่งทำประโยชน์ให้กับคนกลุ่มย่อยมาใช้กับวัฒนธรรมการเมือง ที่มุ่งทำประโยชน์ให้กับคนทั้งประเทศ แต่ก็จะไม่เป็นอุปสรรคทำให้ทรัมป์ไม่ได้รับเลือกอีกซ้ำสอง โดยเฉพาะเมื่อได้เริ่มลงมือหาเสียงนับแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง ประชาชนได้บริจาคเงินให้ทรัมพ์หลายล้านดอลลาร์แล้ว มากกว่าที่โอบามาเคยทำได้เสียอีก 

ฉะนั้น ไม่ว่าทรัมป์จะพูด/ทำอะไร หรือมีชีวะประวัติ/ผลงานแบบใด โอกาสที่จะได้รับเลือกซ้ำสองมีอยู่มากทีเดียว เพียงแต่อย่าพลาดท่าไปถูกข้อหาอุกฤษฏ์เสียก่อน ก็แล้วกันไทยมีพระพุทธศาสนาที่มุ่งฝึกฝนจิตใจเราให้ “ตื่นรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีจากอวิชชา” คือ ตื่นรู้วิธีดำรงชีพตาม “กฎของธรรมชาติ” ซึ่งทำหน้าที่พยุง “ความสมดุล” ในทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ต่อเนื่องอย่างนานเท่านาน พูดง่ายๆ ตื่นรู้วิธี “เดินสายกลาง” นั่นเอง 

การอยู่ด้วยกันนับล้านคนอย่าง “สันติสุข” ย่อมต้องอยู่ร่วมกันอย่าง “เกื้อกูลกัน” เพื่อให้เกิด “ความสมดุล” มิใช่ให้เกิดความเท่าเทียมกันในวัตถุเงินทอง ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกไม่มีวันสามารถแม้แต่จะบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการเงินในสังคมได้ ได้แต่บันดาลคนรวยให้รวยยิ่งขึ้นและคนไม่รวยให้ยากจนลง 

อนึ่ง นักการเมืองมิใช่นักสร้างงาน “กฎของธรรมชาติสู่ความสมดุล” ปรากฎอยู่ใน “ธรรมาธิปไตย” ที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้สั่งสอนไว้ “พุทธเศรษฐศาสตร์” ที่นายอีเอฟ ชูมาร์เชอร์ นักเศรษฐศาสตร์อัจฉริยะชาวอังกฤษได้ค้นพบในพระไตรปิฎกด้วยความทึ่งใจ ตลอดจน “พระธรรมบท” ที่สอนให้เราทำตนเยี่ยงภมรผึ้ง เมื่อไรหนอเราจะตื่นรู้แล้วเลิกเดินตามก้นนักประชาธิปไตยสักที?

การเมืองคือการจัดอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ”พุทธทาสภิกขุ