การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

ประเด็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560

 มีทั้งความเหมือนและความต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 เมื่อ15ม.ค.2560 และฉบับก่อนๆ 

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 กำหนดว่า ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นําความในมาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาใช้บังคับ อันส่งผลให้ “เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้” และในกรณีที่ไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คณะองคมนตรีก็ไม่สามารถเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ และประธานองคมนตรีก็ไม่สามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 19 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 

แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ว่า มาตรา 16 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ มาตรา 17 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 16 หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น แต่ต่อมาคณะองคมนตรีพิจารณาเห็นว่ามีความจําเป็นสมควรแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์และไม่อาจกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งตั้งได้ทันการ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ ตามลําดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกําหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา 18 ในระหว่างที่ไม่มีผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 17 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ในกรณีที่ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 16 หรือมาตรา 17 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ประธานองคมนตรีทําหน้าที่ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน” 

ความเหมือนคือ รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับกำหนดไว้ว่า ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ ส่วนความต่างคือ หากพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 กำหนดให้แต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้แต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือแต่งตั้งหลายคนเป็นคณะขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้  

ซึ่งการกำหนดให้แต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะไปเหมือนกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 มาตรา 10 ที่กำหนดไว้ว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้จะได้ทรงตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้นให้เป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา....” ซึ่งจะวางเงื่อนไขในเรื่องจำนวนตัวบุคคลหรือคุณสมบัติตัวบุคคลไว้ไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่ต่างกันตรงที่ในกรณีที่ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 กำหนดไว้ว่า จะต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 

ส่วนฉบับปัจจุบันกำหนดว่าจะแต่งตั้งหรือไม่ก็ได้ ขณะเดียวกัน ในกรณีที่มิได้ทรงแต่งตั้งไว้ แต่ในมาตรา 17 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีความว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 16 หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น แต่ต่อมาคณะองคมนตรีพิจารณาเห็นว่ามีความจําเป็นสมควรแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์และไม่อาจกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งตั้งได้ทันการ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ ตามลําดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกําหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์” 

ดังนั้น ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตาม “ตามมาตรา 16 หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น” เมื่อคณะองคมนตรีเห็นความจำเป็นสมควรแต่งตั้ง ก็สามารถกระทำได้ แต่กระนั้น ก็มิใช่ว่าคณะองคมนตรีจะเสนอชื่อใครก็ได้ แต่จะต้องเป็นบุคคล “ตามลําดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกําหนดไว้ก่อนแล้ว” 

อีกทั้ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังกำหนดเงื่อนไขไว้เหมือนกับรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ยกเว้นฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 นั่นคือมาตรา 18 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ว่า “ในระหว่างที่ไม่มีผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 17 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ในกรณีที่ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 16 หรือมาตรา 17 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ประธานองคมนตรีทําหน้าที่ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน” ส่งผลให้โอกาสที่จะปราศจากซึ่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในสถานการณ์จำเป็นในความเห็นของคณะองคมนตรีเป็นไปได้ยาก