แค้นที่ต้องชำระ

แค้นที่ต้องชำระ

ความรุนแรงกำลังระเบิดขึ้นทั่วโลกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ประหนึ่งเตือนสติทุกคนให้หันมาสำรวจวิถีชีวิต

และความสัมพันธ์ดูว่า ปกติดีอยู่หรือ?

28 มิถุนายน 2559 ไอซิส 3 คน บุกสนามบินเมืองอิสตันบูล ตุรกี คนตาย 41 ราย 3 กรกฏาคม 2559 ไอซิส 2 คนระเบิดย่านการค้าและชานเมืองแบคแดด อิรัค ตาย 300 ราย 5 ก.ค. ตำรวจผิวขาวรัฐหลุยเซียนายิงคนผิวดำตาย 1 ราย 6 ก.ค. ตำรวจผิวขาวรัฐมิเนโซต้ายิงคนผิวดำตาย 1 ราย 7 ก.ค. คนร้ายผิวดำยิงตำรวจดัลลัสผิวขาว ตาย 5 ราย 14 ก.ค. คนร้ายเชื้อชาติตูนิเซียขับรถบรรทุกชนชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยวหลังชมการแสดงดอกไม้ไฟฉลองวันชาติที่นีซ ตาย 84 ราย 15 ก.ค. รัฐประหารในตุรกี ตาย 151 ราย 17 ก.ค. คนร้ายยิงตำรวจหลุยเซียนา ตาย 3 ราย 22 ก.ค. คนร้ายยิงผู้คนตาย 9 ราย 23 ก.ค.ไอซิสที่กรุงคาบูล อัฟกานิสถาน ระเบิดคนตาย 80 ราย

ประธานาธิบดีสหรัฐ นายบารัค โอบามา ฟันธงว่า เหตุการณ์รุนแรงที่พัวพันตำรวจสหรัฐไม่เกี่ยวกับการถือผิว “ความรุนแรงทั่วไปเป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญอาชญาวิทยาจะต้องศึกษาหาทางออกต่อไป อนึ่งกฎหมายสหรัฐที่ให้สิทธิ์ประชาชนครอบครองอาวุธปืนได้อย่างเสรีคือสาเหตุหนึ่งที่อำนวยให้เกิดความรุนแรงมาตลอด”

ดร.อิริค ฟรอม์ม นักจิตวิเคราะห์โด่งดัง มีความรอบรู้ในมนุษยศาสตร์ยากที่จะหาผู้เทียบเท่าได้ โดยเฉพาะได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนามาแล้ว กล่าวว่า ความรุนแรงเกิดจาก โรคจิตเสื่อม ที่ภาวะแวดล้อมบันดาลให้เกิดขึ้น เมื่อมี โรคประสาท  เข้ามาแทรกซ้อน เหตุการณ์ใดที่ตนเห็นว่าได้เข่นฆ่าพวกพ้องตนก็กลายเป็น แค้นที่ต้องชำระเพื่อให้ผู้เบียดเบียนชดใช้กรรมชั่ว ดร.ฟรอม์มย้ำว่า “การพิฆาตคนทำกรรมชั่วคือการลบล้างกรรมชั่วนั้นออกไป การแก้แค้นคือการทำให้คนทำกรรมชั่วได้ชดใช้กรรมชั่วด้วยอำนาจอัศจรรย์จากผู้แก้แค้น การลงโทษก็ถือได้ว่าเป็นการแก้แค้นอย่างหนึ่งเช่นกัน”

ก่อการร้ายที่ระบาดอยู่ทั่วโลกขณะนี้คือแค้นที่ ดร.ฟรอม์มเรียกว่า “แค้นกระหายเลือด” เพราะมุ่งทำลายล้างกลุ่มชาติพันธุ์ในเป้าหมายให้สิ้นซาก และเตือนว่า ตราบใดที่แค้นกระหายเลือดนี้มิได้คำนึงถึงตัวบทกฎหมาย “ความทรงตัวทางสังคมที่มีอยู่จะล่มสลายลง ประเทศที่เชื่อว่าตนถูกประเทศอื่นรังแก จะตอบสนองอย่างแข็งขันรุนแรงต่อประเทศที่รังแกตน” แบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่สิ้นสุด

ดร.ฟรอม์ม ไม่ เชื่อว่า ความต้องการแก้แค้นมีอยู่ในทุกวัฒนธรรม เพราะผู้คนมากมายที่ไม่ร่ำรวยด้วยวัตถุเงินทองในบางวัฒนธรรม ก็สามารถมีความพอใจในวิถีชีวิตตามมีตามเกิด มีวิสัยทัศน์ที่มองโลกในแง่ดี ไม่ยึดติดแบบคนบางคนที่ตะกละตะกลามเห็นแก่ได้ไม่สิ้นสุดและพร้อมที่จะแย่งคืนปัจจัย โอกาส เกียรติยศ ที่ตนถือว่าถูกคนอื่นฉกฉวยไป “ผู้มีจิตศรัทธาในศาสนามักไม่ประพฤติตนอย่างผู้หลงใหลในตัวเองที่ขะมักเขม้นอย่างบ้าคลั่งที่จะแก้แค้นผู้ที่ตนเชื่อว่าได้ละเมิดหรือฉกฉวยปัจจัยตนไป”

จิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์อเมริกันโด่งดัง ดร.คาร์ล เม็นนินเจอร์ สหรัฐ กล่าวว่า มนุษย์จะต้องหันมาใช้วิธีบริหารจัดการกับอาชญากรรมให้บังเกิดผลในทางเสริมสร้าง แทนวิธีจับอาชญากรโยนเข้าเรือนจำอย่างง่ายดายท่าเดียว แต่ก็ยังสมควรกักขังอาชญากรประเภทรุนแรงไว้ต่อไป เพื่อความปลอดภัยของผู้ต้องการความสงบสุข”

ดร.เม็นนินเจอร์ เตือนว่า ครัวเรือน คือแหล่งที่ผู้ใหญ่เพาะเลี้ยงบุตรหลานให้เป็นอาชญากรแต่เยาว์วัย ด้วยการละเมิดทุบตีเด็กเป็นอาจิณ ส่วนครูและผู้บริหารโรงเรียนที่ลงโทษนักเรียนทางร่างกายกับจิตใจ แม้ฝ่ายกฎหมายจะไม่เอาเรื่อง ก็ขอให้หยุดยั้งมาตรการป่าเถื่อนนี้ไว้: “ทุกคนจงร่วมกันทำหน้าที่รับผิดชอบปกปักษ์รักษาธรรมชาติของผู้ที่กำลังตกเป็นเหยื่อของความก้าวร้าวดุดันและความเห็นแก่ตัวของผู้หลงใหลตัวเอง เพื่อให้ผู้เคราะห์ร้ายทรงไว้ซึ่งวิญญาณจิตปกติเดิม”

ทุกคนในไทยพึงร่วมกันป้องกันแก้ไขความรุนแรงที่มาในรูปแบบของ การแก้แค้นด้วยจิตอาฆาตมาดร้าย โกงกินเผาชาติบ้านเมือง ขัดขวางการใช้อำนาจโดยชอบในการกอบกู้ชาติบ้านเมืองจากหายนะ ตลอดจนพิฆาตกันระหว่างวัยรุ่นด้วยกันอย่างเรื้อรัง โดยหันมาศึกษาทำความเข้าใจกับ แค้นที่ต้องชำระ ในครัวเรือน โรงเรียน และชาติบ้านเมือง เพราะเป็นโรคที่ผู้เยาว์ติดมาจากผู้ใหญ่ที่มี โรคจิตเสื่อมกับโรคประสาท ทั้งนี้ เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อก่อการร้ายหรืออาชญากรรมรอบตัว และสามารถใช้ชีวิตด้วยความเจริญสุขต่อไป

------------

ธนรัตน์ ยงวานิชจิต

[email protected]