โศกนาฏกรรมที่ไนต์คลับเกย์

โศกนาฏกรรมที่ไนต์คลับเกย์

ราวตีสองของ 12 มิถุนายน 2559 ที่ไนต์คลับเพิลซ์ เมืองออร์ลันโด รัฐฟลอริด้า สหรัฐ เสียงปืนกลระเบิดกึกก้อง

ร่างชายเกย์ล้มระเนระนาดทั่วห้องเต้นรำบันเทิง

ขณะนั้น มีผู้ยืนจังก้าเหนี่ยวไกปืนกลเออาร์ 15 สาดชายเกย์ทั้งหลายอยู่เพียงคนเดียว ตำรวจรักษาการรีบยิงสกัดด้วยปืนพก แต่ต้องล่าถอยออกมาขอกำลังพลหน่วยรบพิเศษ ซึ่งพยายามบุกเข้าไปเผด็จศึก แต่คนร้ายข่มขู่จะฆ่าชาวเกย์นับร้อยที่ยังถูกกักขังอยู่ ในที่สุด หน่วยรบฯตัดสินใจระเบิดผนังอาคารด้านหนึ่งลง แล้วตรูกันเข้าไปสังหารฆาตกรเดี่ยวนั้นทันที

เมื่อควันระเบิดและเสียงปืนสงบลง หน่วยรบฯพบร่างชายเกย์ไร้ชีพจรอย่างน้อย 49 ราย บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 53 ราย นับเป็นการก่อการร้ายในสหรัฐที่รุนแรงที่สุด แม้แพทย์จะเยียวยาสุดความสามารถ แต่ก็แสดงความกังวลไว้ว่า หลายรายที่เจ็บสาหัสอาจไม่รอดด้วยทนบาดแผลฉกรรจ์ไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ประชาชนราว 1,500 คน พากันไปบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาลทันที ยอมยืนเข้าแถวนับเป็นชั่วโมง เพื่อช่วยชีวิตผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังต่อสู้สุดชีวิตกับพิษจากกระสุนเพชฌฆาตอยู่

เจ้าหน้าที่รัฐระบุว่า ฆาตกรหฤโหดคือนายโอมาร์ มาทีน พกกล่องเก็บกระสุนปืนกลอยู่หลายกล่อง ปืนพก และอุปกรณ์พิฆาตอื่นๆอยู่กับตัว ผู้เป็นบิดาให้การว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งต่อโศกนาฏกรรม ลูกชายมีอายุ 29 ปี เชื้อสายอาหรับ เกิดและเจริญเติบโตในสหรัฐ และเล่าว่า เมื่อเร็วๆนี้ ในขณะเข้าไปในเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้า พร้อมกับโอมาร์ ทั้งสองมองเห็นชายสองคนจูบกันในที่สาธารณะ ลูกชายบังเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนรุนแรงต่อชายทั้งสองทันที แต่ไม่ได้คาดคิดว่าประสบการณ์นี้จะส่งผลให้ก่อเหตุร้ายแรงได้

นายโอมาร์ได้รับอิทธิพลจากข้อความโจมตีกลุ่มรักร่วมเพศเดียวกันในเว็บไซต์ของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ซึ่งปลูกฝังเมล็ดความเกลียดชัง ชายเกย์ไว้ในจิตใจโดยมิรู้ตัว ที่น่าสังเกตคือนายโอมาร์ได้ทำการวางแผนปฏิบัติการอย่างมีระบบและรัดกุมยิ่ง สามารถหลบพ้นสายตาผู้อื่นได้หมด ต่อมา กลุ่มก่อการร้ายไอซิสในภาคตะวันออกกลางได้ออกประกาศว่า นักรบของตนได้สร้างวีรกรรมไว้ที่ไนต์คลับดังกล่าวได้สำเร็จ

ความเกลียดชังคืออารมณ์ที่บงการให้นายโอมาร์ก่อการร้าย (เชิญอ่านบทความเรื่อง “ก่อการร้ายเกิดได้อย่างไร?” ของผู้เขียนได้ในกรุงเทพธุรกิจนี้)

การก่อการร้าย มิได้ มีรากเหง้ามาจากคำสั่งสอนในศาสนา ข้อกำหนดในวัฒนธรรม หรืออุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ ตามที่ผู้ก่อการร้ายได้ยกขึ้นอ้างอิง แต่มาจาก อารมณ์ทำลายล้างกับอารมณ์เกลียดชังล้วนๆของผู้ก่อความรุนแรงเอง อารมณ์อุบาทว์นี้เปรียบได้กับไม้ขีดติดไฟ ที่จุดระเบิด เชื้อเพลิง ซึ่งได้แก่ปัจจัยที่ทำให้นายโอมาร์มีชีวิตขับเคลื่อนตัวไปสู่การปลิดชีพผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้อย่างเลือดเย็นยิ่ง

ดร.อิริค ฟรอม์ม นักจิตวิเคราะห์ชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ผู้ได้วิเคราะห์จิตมนุษย์มานับไม่ถ้วน และบวชเรียนในพระพุทธศาสนามาแล้ว ชี้แจงถึงปรากฏการณ์ของการก่อการร้ายชนิดรุนแรงสุดขีดไว้ว่า มีรากเหง้ามาจาก “จิต” ที่เข่นฆ่าผู้อื่นได้อย่างปราศจากท่าทีวิตกทุกข์ร้อนถึงความผิดปกติที่ตัวเองได้ทำไว้ ดร.ฟรอม์มเรียกจิตนี้ว่า “จิตเสื่อม” เพราะเป็นจิตที่ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความทุกข์สุขของผู้อื่นได้เลย

ที่น่าขยะแขยงยิ่ง คือ ดร.ฟรอม์มพบว่า ภาวะตายเน่าเปื่อยเสื่อมสลายคือภาวะเดียวที่ทำให้คนจิตเสื่อมมีชีวิตชีวาขึ้นมา ในขณะที่ “ความตายจงเจริญ!” คือคติพจน์ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคนจิตเสื่อมนี้

มนุษย์โดยทั่วไปมักประสบความคับข้องใจทุกข์ใจสุดขีดจากการไม่สมหวังในภาวะต่างๆ เช่น อุดมสมบูรณ์ เป็นธรรม ตลอดจนมีอิสระภาพ เป็นต้น จนจำต้องลดความทุกข์ใจด้วย การปรับตัว ให้เข้ากับวัฒนธรรมสังคม เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ใจ หากไม่ปรับตัว ก็ต้องทำการต่อสู้กับวัฒนธรรมสังคมที่ตนเห็นว่า อุบาทว์ เท่าที่ตนพอจะทนทานได้ เพื่อจะได้สมหวังในความต้องการที่จะมี ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่เดินตามก้นผู้อื่น เพื่อรักษา จิตรู้สึกนึกในศีลธรรม ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดไว้

วัฒนธรรมอุบาทว์นี้ตั้งอยู่ได้เพราะมีผู้คนจำนวนมากที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกว่าพวก “จริงหนอ จริงหนอ จริงหนอ” คือ ใครว่าอะไรก็บ้าจี้ว่าตาม โดยปราศจากความเป็นตัวของตัวเอง เช่น ใครว่าอภิมหาเศรษฐีคือเทวดามีอำนาจชี้นกเป็นนก ก็ก้มลงพื้นกราบไหว้และจำเริญรอยตามท่านทันที โดยไม่คำนึงว่าเงินทองอำนาจของเทวดาเหล่านี้ได้มาโดย การหลีกเลี่ยงหรือทำผิดกฎหมายศีลธรรม หรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น หรือไม่ เป็นต้น

วัฒนธรรมอุบาทว์นี้ถือว่าผู้ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมอุบาทว์และพวกจริงหนอๆ คือ คนปกติ ในสังคม ทว่า ดร.ฟรอม์มกลับวิเคราะห์ออกมาว่า “คนปกติ” ดังกล่าว จริงๆ แล้ว คือ คนโรคประสาท ที่มีความวิตกกังวลและอาการกายเหตุจิต เป็นประจำ และมัก มองโลกแคบกว่าผู้คนทั่วไป เช่น คิดแต่เรื่องเงินๆทองๆอย่างเดียวตั้งแต่ตื่นนอนจนกินยานอนหลับก่อนเข้านอน เป็นต้น

ผู้ไม่ร่ำรวยก็มีสิทธิ์เป็นโรคประสาทนี้ได้ หากไม่ได้เสริมสร้างความรู้สำนึกในอิสระภาพและความเป็นตัวของตัวเองไว้แต่เยาววัย ไม่ว่าโดยการได้เข้าถึงคำสั่งสอนจากพระบรมศาสดาหรือเรียนรู้จากบิดามารดาผู้กอปรด้วยคุณธรรมดังกล่าว คือ หากไม่มี ภูมิคุ้มกัน จากฝ่ายธรรมะนั่นเอง

โรคประสาทนี้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ตาบอดที่ชี้นำให้ผู้ไม่ร่ำรวยและอ่อนแอ ตัดสินใจ เลือกที่จะก้าวเข้าไปคบค้ากับโรคจิตเสื่อม แล้วเลือกใช้กลยุทธ์พลีชีพเหนี่ยวไกปืนหรือกดปุ่มระเบิดมหาบรรลัยจักรในที่สุด  

การพลีชีพ เพื่อความอยู่รอดของคำสั่งสอนในพระบรมศาสดา คือความถูกต้องชอบธรรม ดังเช่นพระเวียตนามกลุ่มหนึ่งที่จุดไฟเผาตัวเอง เพื่อประท้วงรัฐบาลเวียตนามภายใต้ประธานาธิบดีโงว์ดินเดียม ผู้มุ่งริดรอนสิทธิต่างๆทางศาสนกิจของชาวพุทธเวียตนาม พระดังกล่าวยอมทนความเจ็บปวดสุดบรรยายกับไฟร้อนจนมรณภาพไปด้วยความเสียสละเพื่อพระธรรม คือ มิได้ฆ่าตัวตายเพื่อประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม การพลีชีพฆ่าผู้อื่น ด้วยการตีความผิดๆในคำสั่งสอนดังกล่าว ด้วยหวังไปอยู่บนสรวงสวรรค์เสวยสุขชั่วนิรันดร คือการกระทำของคนเป็นโรคประสาทกับโรคจิตเสื่อม ซึ่งประชาคมโลกร่วมกันประณามอย่างรุนแรงอยู่เสมอ

ในกรณีของไทย วัฒนธรรมอุบาทว์ดังกล่าวยังควบคุมบงการวัฒนธรรมไทยเดิมที่มีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนาอยู่อย่างเด่นชัด โดยได้รับการเกื้อกูลจากสาวกของลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ ผู้เป็นทั้งโรคประสาทและจิตเสื่อมที่ไม่รู้ผิด ไม่รู้ชอบ และไม่รู้จักความเป็นจริง รู้อย่างเดียวคือมุ่งทำลายทุกอย่างด้วยความเกลียดชังอาฆาตผู้อื่น โดยเฉพาะบรรดาสาวกลัทธิสัตว์ประเสริฐ ผู้ที่ตนถือเป็นศัตรูขนานแท้ ทั้งนี้ เพื่อสนองกิเลสตัณหาตนเท่านั้น

หลักฐานที่น่าสลดใจยิ่ง คือ ผู้บริหารวัดไทยจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ ถูกสาวกลัทธิอุบาทว์ดังกล่าว สกดจิตให้ตกอยู่ในความหลงใหลแข่งขันกันสร้างวัตถุสะสมเงินทองในวัดอย่างบ้าคลั่ง มิได้บริหารวัดให้ทำหน้าที่เยี่ยงโรงพยาบาลรักษาจิตวิญญาณด้วยโอสถวิเศษจากพระธรรม ดังที่ท่านพุทธทาสได้อุปมาไว้

ดร.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยอดอัจฉริยะวิชาฟิสิกส์ระดับโลก กล่าวไว้ว่า “เรามิอาจแก้ปัญหาโดยใช้ความคิดเดียวกันกับที่เราก่อปัญหาขึ้นมา” คือ เราต้องนำพระธรรมของอริยชนมาแก้ปัญหาของปุถุชน

ทว่า พระธรรมกำลังถูกปุถุชนคุกคามอย่างกว้างขวางและลุ่มลึก โดยยังไม่มีโอกาสแสดงบทบาทตนอย่างจริงจังเลย.

---------------------------

ธนรัตน์ ยงวานิชจิต

[email protected]