ไอซิสท้าทายมหาอำนาจ

ไอซิสท้าทายมหาอำนาจ

ระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวสองครั้งไล่เลี่ยกันเช้าตรู่วันที่ 22 มีนาคม 2559 ในสนามบินกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม

และอีกหนึ่งครั้งในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแมลบีคในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา รวมผู้เสียชีวิตทันทีที่สนามบินราว 10 ราย และที่สถานีราว 20 ราย บาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัสนับร้อยๆ ราย สื่อมวลชนทั้งหลายในกลุ่มชาติตะวันตกเสนอข่าวระเบิดนี้ครึกโครมตลอดวัน

ภาพทีวีวงจรปิดในสนามบินได้บันทึกใบหน้าชายอาหรับขาวสามคนไว้ สองคนมีอายุราว 30 ปี แต่งกายชุดสีดำ เฉพาะมือซ้ายของทั้งสองใส่ถุงมือคล้ายหนังกระชับ เกาะราวผลักรถเข็นกระเป๋า มีหนวดเคราดกแต่ไม่ยาวอย่างชาวมุสลิมในกลุ่มไอซิสหัวรุนแรง เข้าใจว่าเป็นการสร้างภาพอำพรางให้เห็นเป็นพวกเดียวกับชาวตะวันตก อีกหนึ่งคนอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่งกายภูมิฐาน สวมหมวกมีปีกรอบๆ และไม่ไว้เครา ทั้งสามเดินเคียงกันเข็นกระเป๋าเดินทางตรงไปที่บริเวณตรวจรับผู้โดยสารขึ้นเครื่องบิน

หลังระเบิดที่สนามบิน คนขับรถแท็กซี่แจ้งตำรวจว่า ได้ไปส่งชายหนุ่มสามคนที่สนามบิน มีกระเป๋าสามใบ หนักจนยกเองไม่ไหว พอได้ข่าวเกิดระเบิดขึ้นที่สนามบิน ก็พาตำรวจไปสอบบริเวณต้นทางที่ไปรับชายทั้งสาม เมื่อเข้าไปในที่พักของผู้ต้องสงสัย ก็พบอุปกรณ์ชิ้นส่วนสำหรับประกอบระเบิด ท่อประปาสำหรับอัดสารระเบิดกับตะปูขนาดเล็กมากมาย รวมทั้งธงสีดำของไอซิส

ศาสตราจารย์จิมมี่ ซี อ็อก์ซลี่ มหาวิทยาลัยแห่งโรดไอแลนด์ สหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญทางเคมีระเบิด ให้สัมภาษณ์นิวยอร์คไทม์สว่า กระเป๋าเดินทางใบหนึ่งๆ คงบรรจุด้วยสารระเบิดไตรอะเซโทน ไตรเปอร์อ็อกไซด์ ซึ่งกลุ่มไอซีสใช้ก่อวินาสกรรมมาตลอด หนักประมาณ 30 ถึง 100 ปอนด์ (1 กก. = 2.204 ปอนด์) หากระเบิดขึ้นในรถเข็นกระเป๋าที่อยู่สูงขึ้นพ้นพื้นราว 6 นิ้ว (15 ซม.) แรงระเบิดจะเจาะพื้นเป็นหลุมมหึมา แต่แปลกที่ไม่มีภาพแสดงพื้นเสียหายขนาดนั้น ส่วนมือซ้ายที่ใส่ถุงมือหนังกระชับนั้น ไม่น่าจะบ่งชี้ว่า อาจมีปุ่มกดระเบิดซ่อนอยู่ในมือ เพราะไอซิสนิยมใช้ชนวนที่ประกอบด้วยแบตเตอร์รี่ 9 โวลต์กับลวดไฟฟ้ายาวที่เชื่อมโยงกับท่อระเบิดแบบง่ายๆ

ศจ.อ็อก์ซลี่เสริมว่า การสวมถุงมือข้างซ้ายของทั้งสองคนนั้น นับว่าแปลก เพราะเสี่ยงต่อการเรียกความสนใจ ตกเป็นเป้าสายตาได้ เข้าใจว่าไม่น่าจะเป็นแรงระเบิดจากเข็มขัดระเบิดพลีชีพ เพราะบรรจุสารดังกล่าวได้ราว 1 ปอนด์เท่านั้น จึงไม่น่ามีอานุภาพกว้างขวางและร้ายแรงขนาดนั้น ส่วนกระเป๋าใบที่สามไม่ได้ระเบิดตามคาดคิดกัน สรุปแล้ว ระเบิดคงมิได้จุดชนวนด้วยมือและอาจมิได้เกิดจากรถเข็นในภาพ ทั้งนี้ ต้องรอผลสอบสวนจากเจ้าหน้าที่วัตถุระเบิดต่อไปว่า เป็นระเบิดแบบใดและจุดชนวนอย่างไรกันแน่

ต่อมา กลุ่มไอซิสได้ออกมาแถลงการณ์ยอมรับว่า ตนเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดทั้งสองแห่งดังกล่าว เพื่อแก้แค้นรัฐบาลเบลเยี่ยมที่ส่งกำลังทหารไปสู้รบกับกลุ่มตนในประเทศอิรัคและใกล้เคียง แม้ว่ากำลังทหารเบลเยี่ยมมีเพียง 100 กว่านายเท่านั้น และได้หยุดทิ้งระเบิดไอซิสแต่เมื่อปีก่อนแล้ว พลางสัญญาว่า จะมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้อีกในปีนี้อย่างแน่นอนในกลุ่มประเทศตะวันตก ซึ่งได้ร่วมกันใช้กำลังทหารต่อสู้กับกลุ่มตน น่าสังเกตได้ว่า ไอซิสมิได้กล่าวถึงการจับกุมตัวการสำคัญชื่อนายซาล่า อับเดซาลัม ผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงคนหนึ่งที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ด้วยข้อหา “ฆาตกรก่อการร้าย” ซึ่งอาจถูกส่งตัวไปขึ้นศาลที่ประเทศฝรั่งเศสต่อไป

นายดีดิเอ รีเอนเดอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศแห่งเบลเยี่ยม กล่าวว่า นายอับเดซาถูกจับเป็นได้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2559 ที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งให้การว่า ได้วางแผนก่อการร้ายไว้อีกหลายแห่งในขณะพำนักอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ โดยมีอาวุธสงครามพร้อมมูล ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดได้ยึดมาได้พร้อมกับธงไอซิสจากที่หลบซ่อน และพบว่านายอับเดซามีเครือข่ายใหม่ๆ เกิดเพิ่มขึ้นรอบตัวมากมาย พร้อมที่จะก่อเหตุรุนแรงในยุโรปได้อีกต่อไป ฉะนั้น ปีนี้อาจมิใช่ปีที่กลุ่มประเทศยุโรปพึงปรารถนานัก นอกจากว่า ประเทศตะวันตกทั้งหลายจะร่วมกันแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองอย่างใกล้ชิดและลงมือสกัดกั้นเหตุร้ายอย่างจริงจัง

สมาชิกกลุ่มไอซิสสามารถแอบซ่อนตัวอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ได้ เพราะโครงสร้างของประเทศเบลเยี่ยมไม่เอื้ออำนวยต่อการให้ชาวอาหรับผสมกลมกลืนเข้ากับท้องถิ่น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ชาวอาหรับที่อพยพเข้าเบลเยี่ยมเพื่อแสวงหาความสำเร็จในการประกอบอาชีพ มักประสบความล้มเหลว เนื่องจากมีวัฒนธรรม โดยเฉพาะศาสนาที่แตกต่างจากชาวเบลเยี่ยมมาก จึงกลายเป็น “คนวงนอก” และกฎหมายเบลเยี่ยมก็ไม่เปิดช่องทางให้โอนสัญชาติเป็นชาวเบลเยี่ยมได้ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศมานานกี่ปีก็ตาม ชาวอาหรับจำนวนมากจึงมีความรู้สึกว่า ตนเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของสังคมเบลเยี่ยม จึงยินดีเข้าร่วมอุดมการณ์ของไอซิสที่ต้องการกำจัดทุกคนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม โดยยอมพลีชีพตามความเชื่อที่ผิดจากศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วไปไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิง

บทเรียนสำหรับไทยคือ รัฐบาลมีแผนการอย่างไรในการเปิดทางให้ผู้ประสงค์แบ่งแยกดินแดนภาคใต้ออกมาเจรจายุติการก่อความไม่สงบในเขตสามจังหวัดชายแดน? ผู้ก่อความไม่สงบเหล่านี้เคยอยู่ในภาวะล้มเหลวทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แบบเดียวกับกลุ่มอาหรับที่กำลังพำนักอยู่ในกรุงบรัสเซลส์หรือไม่? ผู้ก่อความไม่สงบจะมีทางเชื่อมโยงกับกลุ่มไอซิสได้หรือไม่? มีทางป้องกันได้อย่างไร? รัฐบาลพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์เช่นที่สนามบินกรุงบรัสเซลส์เพียงใด? ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากฝีมือของบุคคลใดก็ตาม

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไกลตัวหรือผ่านไปนานแล้ว อย่างเช่นเมื่อปีก่อนที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ กทม. มักก่อให้เกิดความรู้สึกเสมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งถึงวันหนึ่งเมื่อตื่นจากภวังค์...