ตลาดเครื่องปรับอากาศในอินเดีย

 ตลาดเครื่องปรับอากาศในอินเดีย

เครื่องปรับอากาศได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนอินเดียไปแล้ว โดยเฉพาะคนอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่

 เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ มีลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทรายทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ร้อนชื้นทางภาคใต้ และหนาวเย็นทางภาคเหนือ ความต้องการเครื่องปรับอากาศจึงเพิ่มขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับทะเลทรายทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และพื้นที่ร้อนชื้นในภาคใต้ ทั้งนี้ กรุงเดลีและปริมณฑลเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการเครื่องปรับอากาศมากที่สุดในประเทศอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด

อย่างไรก็ตาม อัตราการครอบครองเครื่องปรับอากาศของครัวเรือน (Household Penetration) ในตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย (Residential Sector) ในประเทศอินเดียยังอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก โดยในปี 2556 อินเดียมีอัตราการครอบครองเครื่องปรับอากาศของครัวเรือน อยู่ในอัตราเพียงร้อยละ 3-4 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดเท่านั้น เปรียบเทียบกับประเทศจีน ที่มีอัตราการครอบครองเครื่องปรับอากาศของครัวเรือน สูงถึงร้อยละ 52-54 ในขณะที่ฮ่องกงมีอัตราสูงถึงร้อยละ 96-98 รองลงมาคือ ญี่ปุ่น ร้อยละ 90-92 และสิงคโปร์ ร้อยละ 71-73 ตามลำดับ

แต่ความต้องการเครื่องปรับอากาศในประเทศอินเดีย ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศอินเดียขยายตัวอยู่ในระดับสูง โดยในปัจจุบันเครื่องปรับอากาศไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับคนรวยเท่านั้น แต่เป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับคนชั้นกลางของอินเดีย ที่กำลังเติบโตอย่างมาก ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2558 จำนวนครัวเรือนของคนชั้นกลางของอินเดีย จะมีจำนวนถึง 53.3 ล้านครัวเรือน จากปัจจุบันที่มีจำนวน 31.4 ล้านครัวเรือน และคาดว่าจะขยายจำนวนเป็น 113.8 ล้านครัวเรือน ภายในปี 2568 โดยปัจจุบัน ร้อยละ 52 ของครัวเรือนของคนชั้นกลางในประเทศอินเดีย มีเครื่องปรับอากาศไว้ในครอบครองแล้ว ดังนั้น จึงมีโอกาสอีกมากที่จะเจาะตลาดเข้าไปยังครัวเรือนของคนชั้นกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อที่เหลืออีกร้อยละ 48 ที่ยังไม่มีเครื่องปรับอากาศไว้ในครอบครอง

ตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศอินเดียในปี 2556 มีมูลค่า 1,277.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 12.23 โดยคาดว่าในปี 2561 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,274.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วมาก ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ประชากรมีรายได้สำหรับจับจ่ายใช้สอย หรือรายได้สุทธิส่วนบุคคล (Disposable Income) เพิ่มขึ้น มีการขยายตัวของเมืองอย่างมาก วิถีชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนไป คือมีความทันสมัยมากขึ้น และเปลี่ยนมุมมองจากในอดีตที่มองว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ปัจจุบันมองว่าเป็นสินค้าจำเป็น นอกจากนั้น ภาคการก่อสร้างที่ขยายตัวจากการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้มีอาคารพาณิชย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความต้องการเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เครื่องปรับอากาศสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ ประเภทหน้าต่าง (Window Air Conditioner) กับประเภทแยกส่วน (Split Air Conditioner) โดยในปี 2556 เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนมีสัดส่วนตลาดมากกว่า ด้วยสัดส่วนร้อยละ 60.08 ในขณะที่เครื่องปรับอากาศแบบหน้าต่าง จะมีสัดส่วนร้อยละ 39.9ทั้งนี้ คาดว่าเครื่องปรับอากาศประเภทแยกส่วน จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกปีและจนถึงปี 2561 น่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 84.28 ในขณะที่เครื่องปรับอากาศประเภทหน้าต่าง จะมีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 15.72

ทั้งนี้ ในปี 2556 ตลาดเครื่องปรับอากาศประเภทแยกส่วน ในประเภทอินเดียมีมูลค่า 767.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,916.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2561 ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 20.08 ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องปรับอากาศประเภทแยกส่วน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศอินเดียก็คือ เสียงไม่ดัง มีความยืดหยุ่นในการติดตั้งสูง และรูปทรงสวยงามทันสมัย เหมาะสำหรับติดตั้งในบ้านพักอาศัย

ในขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศประเภทหน้าต่าง ในประเทศอินเดียในปี 2556 มีมูลค่า 509.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีแนวโน้มลดลงทุกปี สวนทางกับการขยายตัวของเครื่องปรับอากาศประเภทแยกส่วน ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2561 ตลาดเครื่องปรับอากาศประเภทหน้าต่าง ในประเทศอินเดียจะมีมูลค่าลดลงหลือ 357.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมในตลาด ทั้งๆ ที่มีราคาถูกกว่าเครื่องปรับอากาศประเภทแยกส่วน

ถ้าแบ่งส่วนตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศอินเดียตามประเภทผู้ใช้ (End Users) จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มเช่นกันคือ เครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Sector) กับเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย (Residential Sector) โดยในปี 2556 ตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนสูงกว่า คือร้อยละ 62 ในขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ มีสัดส่วนร้อยละ 38 ทั้งนี้ คาดว่าตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย จะยังคงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 68.66 ในขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย ในประเทศอินเดียในปี 2556 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 62 มีมูลค่า 792.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 14.54 ต่อปี โดยในปี 2561 คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 68.66 ด้วยมูลค่า 1,561.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย ถือเป็นตลาดที่มีการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในประเทศอินเดีย เนื่องจากวิถีชีวิตของคนอินเดียรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวของเมืองมากขึ้น และที่สำคัญคือ อัตราการครอบครองเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้มีโอกาสและช่องทางที่จะขยายตัวได้อีกมาก

ตลาดเครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ในประเทศอินเดีย ในปี 2556 มีสัดส่วนร้อยละ 38 ด้วยมูลค่า 485.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ขยายตัวอยู่ในอัตราเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัยคือ ร้อยละ 7.98 โดยคาดว่าในปี 2561 ตลาดเครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ในประเทศอินเดีย จะมีมูลค่า 712.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ซึ่งตลาดในส่วนนี้จะเป็นศูนย์การค้า โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา และโรงแรม

อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ในประเทศอินเดีย มีสัดส่วนน้อยกว่าตลาดสำหรับที่อยู่อาศัยเป็น เพราะอาคารเพื่อการพาณิชย์เหล่านี้ ได้หันไปใช้ระบบแอร์จากส่วนกลาง (Central Air Conditioning System) กันมากขึ้น

ตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศอินเดีย มีการแข่งขันกันสูงมาก ด้วยจำนวนผู้เล่นในตลาดที่มีจำนวนมาก ทั้งที่เป็นแบรนด์ระดับโลกและแบรนด์อินเดียเอง อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นหลักในตลาดจำนวน 7 แบรนด์ มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณร้อยละ 87-89 ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้เล่นรายเล็กประมาณร้อยละ 11-13

ในกลุ่มผู้เล่นหลัก แบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดคือ Voltas ซึ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่นของอินเดียของกลุ่มบริษัท Tata ประมาณร้อยละ 18-20 รองลงมาคือ LG ร้อยละ 16-18, Panasonic ร้อยละ 12-14, Daikin ร้อยละ 11-13, Samsung ร้อยละ 10-12, Godrej ร้อยละ 9-11 และ Blue Star ร้อยละ 5-7 สำหรับ Blue Star จะเน้นไปที่ตลาดเครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก

ที่น่าสนใจก็คือ ในปี 2556 อินเดียนำเข้าสินค้าเครื่องปรับอากาศ (ไม่รวมชิ้นส่วน) จากประเทศไทยมากที่สุดด้วยมูลค่า 210.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.79 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด สาเหตุสำคัญก็เพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยมีโรงงานผลิตแบบ OEM และโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแบรนด์ระดับโลก ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศอินเดียอีกด้วย ที่สำคัญคือสินค้านี้ของไทยอยู่ภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย ภาษีนำเข้าเป็น 0%

เห็นกันชัดๆ แบบนี้คงมองข้ามอินเดียไปไม่ได้แล้วนะครับ