ทางออกประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน : กรองคนเข้าทำงานเพื่อบ้านเมือง

ทางออกประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน : กรองคนเข้าทำงานเพื่อบ้านเมือง

ปัจจุบันนี้คนไทยได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ผู้นำฝ่ายรัฐบาลอ้างตนเองมาโดยวิธีถูกต้อง มีประชาชนเลือกตนเข้ามาบริหารประเทศถึงสิบห้าล้านเสียง

และเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ถือเป็นฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอ้างรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป เพราะโกงด้วยระบอบทักษิณ มีประชาชนเห็นด้วยและออกมาเดินขบวนต่อต้านถึงห้าล้านคน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ชาติไทยมาก่อน ในสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันได้ ทั้งสองฝ่ายยังอ้างความชอบธรรมของแต่ละฝ่าย และยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร เราต้องสูญเสียเลือดเนื้อไหม และต้องเป็นจำนวนเท่าไหร่หรือ เราถึงจะพร้อมกับระบอบประชาธิปไตย เราต้องสูญเสียชีวิตกันเป็นแสนเป็นล้านเหมือนกับการปฏิวัติฝรั่งเศส เหมือนกับสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ของอเมริกาหรือเปล่า เราต้องล้มตายกันมากมายเป็นหมื่นเป็นแสนถึงจะได้มาด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตยแล้วการเมืองเราถึงจะยกระดับไปสู่อีกระดับหนึ่งที่สูงขึ้น

ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีความเครียดในสถานการณ์เช่นนี้มาก คนในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูงมีความเห็นที่หลากหลายและแตกต่างกัน ถึงกับมีปากเสียงและโกรธกันเลิกพบกันไปก็มี บาดหมางทางจิตใจกันก็เยอะ ทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ เราโกรธเราเศร้าด้วยเหตุใด และมันจำเป็นไหมเราต้องได้รับผลกระทบด้านลบหรือสูญเสียก่อน เราถึงจะเข้าใจมันและยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นไป

ผมเห็นว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ว่าผู้บริหารบ้านเมือง รัฐบาล ส.ส. ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าหน้าที่ของเขาต้องทำเพื่อชาติทำเพื่อส่วนรวมและเขาก็สัญญากับประชาชนว่าจะทำเพื่อส่วนรวม ยังมีการสาบานตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าว่าต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้ที่ทั้งสัญญา สาบานว่าทำเพื่อส่วนรวม เขากลับไม่ทำตามสัญญาหรือคำสาบานเลย เขาเข้ามาทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำทุกวิถีทางที่จะโกงและเอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ต้นตออยู่ตรงนี้ ทำอย่างไรไม่ให้คนพวกนี้เข้าไปบริหารบ้านเมือง เข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวม เราต้องหาวิธีกรองคนเข้าไปทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง

ก่อนที่จะให้ผู้ที่อาสามาทำงานการเมืองระดับชาติ ต้องให้เขาผ่านงานจิตอาสาจากหน่วยงานที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร เช่น มูลนิธิ เป็นต้น เป็นเวลาไม่น้อยกว่าแปดปีและมีผลงานเด่นชัดที่จับต้องได้ และต้องได้รับเลือกจากหน่วยงานให้เข้ามาทำงานระดับบ้านเมืองได้ เราถึงได้คนที่ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมจริง โดยค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาจำนวนปีของงานจิตอาสาเพื่อส่วนรวมตามปี พ.ศ. เช่น ถ้าปีการเลือกตั้ง ปี 2558 หนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็น ส.ส. ก็คือ ต้องมีระยะเวลาทำงานอาสาโดยเป็นผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลา อย่างน้อยหกเดือน และเพิ่มขึ้นหกเดือนทุกๆ หนึ่งปีที่เพิ่มขึ้น เช่นนี้

เลือกตั้งปี 2558 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 6 เดือน

เลือกตั้งปี 2559 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 12 เดือน

เลือกตั้งปี 2560 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 18 เดือน

เลือกตั้งปี 2561 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 24 เดือน

เลือกตั้งปี 2562 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 30 เดือน

เลือกตั้งปี 2563 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 36 เดือน

เลือกตั้งปี 2564 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 42 เดือน

เลือกตั้งปี 2565 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 48 เดือน

เลือกตั้งปี 2566 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 54 เดือน

เลือกตั้งปี 2567 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 60 เดือน

เลือกตั้งปี 2568 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 66 เดือน

เลือกตั้งปี 2569 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 72 เดือน

เลือกตั้งปี 2570 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 78 เดือน

เลือกตั้งปี 2571 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 84 เดือน

เลือกตั้งปี 2572 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 90 เดือน

เลือกตั้งหลังปี 2572 ต้องเคยปฏิบัติงานอาสาเพื่อส่วนรวมแบบทำงานเต็มเวลา อย่างน้อย 96 เดือน

นี้เป็นเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าสามารถทำให้ได้คนที่มีความตั้งใจทำเพื่อส่วนรวม ดังทำพังเพยว่าระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน ผมอยากเห็นบ้านเรา ประเทศไทยเรามีความสงบ และปกติสุขเกิดขึ้นเร็วๆ ครับ