กฎว่าด้วยการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ของสหภาพยุโรป

กฎว่าด้วยการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ของสหภาพยุโรป

เมื่อปี 2553 รัฐสภา สหภาพยุโรปได้และคณะกรรมการแห่งสหภาพยุโรปได้ ผ่านข้อกำหนดว่าด้วยการค้าไม้ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้

ซึ่งมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ รวมทั้งการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยไปสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งในช่วงนั้นหน่วยงานของราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้จัดประชุมหารือให้ความรู้ความเข้าใจกับข้อกำหนดฉบับนี้ รวมถึงสภาพปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ของไทยหลายครั้ง บัดนี้ ข้อกำหนดของสหภาพยุโรป ดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2556 แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สายที่จะรับทราบ และทำความเข้าใจกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรปฉบับนี้

ความเป็นมาของข้อกำหนดฉบับนี้มาจากการที่ สหภาพยุโรปเห็นว่า การตัดไม้ที่ผิดกฎหมายเป็นปัญหาระดับโลก ซึ่งมีผลกระทบในทางที่เสียหายที่สำคัญต่อ เศรษฐกิจ มีผลกระทบเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ผลเสียหายในด้านเศรษฐกิจ คือ การตัดไม้ที่ผิดกฎหมายทำให้รายได้และประโยชน์อื่นของรัฐสูญเสียไป ผลเสียในด้าน ในด้านสิ่งแวดล้อมคือ การตัดไม้ที่ผิดกฎหมาย มีผลเป็นการทำลายป่า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และสูญเสียความหลากหลายของชีวะภาพ และผลเสียในด้านสังคมคือ การตัดไม้ที่ผิดกฎหมายนำไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ลิดรอนอำนาจของท้องถิ่นและชนชาวพื้นเมือง และก่อให้เกิดการขัดแย้งจนนำไปสู่การใช้กำลัง และบ่อนทำลายผู้ประกอบทำและค้าไม้ที่มีความรับผิดชอบ

ข้อกำหนด กฎการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป มีจุดมุ่งหมาย เพื่อต่อสู้และ ขจัดการค้าอันเกี่ยวข้องกับการทำไม้ที่ผิดกฎหมาย คือข้อกำหนด Regulation (EU) No 995/2010 มีผลใช้บังคับกับผู้ประกอบการตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2556

หลักการสำคัญของข้อกำหนด ดังกล่าว โดยสรุป คือ

๐ ห้ามจำหน่ายหรือวางจำหน่ายไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ที่ตัดมาโดยผิดกฎหมาย ในตลาดสหภาพยุโรป ข้อกำหนดนี้ใช้บังคับกับผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าภายในสหภาพยุโรปหรือเป็นผู้นำเข้า

๐ ผู้ประกอบการต้องสามารถระบุได้ว่า ผู้ประกอบกิจการหรือผู้ค้ารายใดเป็นผู้จัดหาไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ให้ตน และถ้าเป็นไปได้ ต้องระบุว่าผู้จัดหาไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ให้ตน นั้นได้จัดหาไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ให้ผู้ใดบ้าง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้เป็นเวลา 5 ปี และต้องมอบข้อมูลนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ เมื่อเจ้าหน้าที่ร้องขอ

๐ สำหรับผู้ประกอบการค้าไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้รายใหม่ จะต้องมีการทำ “due diligence” คือ ผู้ประกอบกิจการหรือผู้ค้า จะต้องมีการดำเนินการจัดการความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการนำไม้ผิดกฎหมายหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ผิดกฎหมายไปจำหน่ายหรือวางจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรป ระบบ due diligence มีองค์ประกอบ ที่สำคัญ 3 องค์ประกอบ โดยสรุปที่สำคัญคือ

- ผู้ประกอบการต้องกำหนดมาตรการและวิธีการที่เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการหรือผู้ค้าที่เป็นผู้จัดหาไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ที่ตนจะวางจำหน่าย คือ รายละเอียดของไม้หรือผลิตภัณฑ์ ชื่อทางการค้า ประเภทของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งชื่อสามัญของต้นไม้ พันธุ์ และชื่อทางวิทยาศาสตร์ด้วย รวมถึงข้อมูลว่า เป็นไม้ที่ตัดจากประเทศใด ถ้าเป็นไปได้ให้ระบุด้วยว่าจากภาคใดของประเทศที่ตัดไม้นั้น รายละเอียดสัมปทานของการทำไม้ ปริมาณ น้ำหนัก หรือจำนวนหน่วย ชื่อ สถานที่ของผู้ค้าที่จัดหาไม้หรือผลิตภัณฑ์ให้ตน รวมทั้งรายชื่อผู้ซื้อรายอื่นที่ผู้ค้ารายนี้ขายไม้หรือผลิตภัณฑ์ให้ด้วย รวมตลอดถึงเอกสารอื่นใดที่แสดงถึงความชอบด้วยกฎหมายหรือไม้หรือผลิตภัณฑ์ นั้น

- ผู้ประกอบการต้องมีวิธีการประเมินความเสี่ยง ที่สามารถวิเคราะห์และประเมินได้ถึงความเสี่ยงต่อการได้มาซึ่งไม้ที่ผิดกฎหมายหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ที่ผิดกฎหมายหรือไม่ โดยการประเมินจากข้อมูลที่ได้มาดังกล่าวข้างต้น

- ต้องลดความเสี่ยง หากการประเมินความเสี่ยง มีแนวโน้มแสดงว่าไม้หรือผลิตภัณฑ์นั้นทำจากจากไม้ที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงลง ด้วยการขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ขายและตรวจสอบและพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูลนั้นอีกครั้งหนึ่ง

การตรวจสอบการดำเนินการของผู้ประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของสหภาพยุโรป จะตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ว่า การดำเนินกิจการของผู้ค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้นั้น เป็นไม้ หรือทำจากไม้ที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ผู้ประกอบกิจการมีการทำ due diligence ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ได้เก็บข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้หรือไม่ จะมีการตั้งจุดและสุ่มตรวจสอบและตรวจสอบภาคสนามด้วย และหากพบว่ามีการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ก็อาจมีการแจ้งเตือน หรือหากจำเป็น ก็อาจมีคำสั่งห้ามขายหรือยึดไม้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้นั้นได้

ไม้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ที่อยู่ในบังคับของข้อกำหนดฉบับนี้ ได้กำหนดไว้กว้างมาก แต่ไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุ รีไซเคิล หรือเป็นของเสียที่ใช้ไม่ได้แล้ว หวาย ไม้ไผ่ ที่ใช้ประโยชน์หลักเพื่อการถักสานจะผ่าหรือเลื่อยหรือไม่ก็ตาม สิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ แมกกาซีน และหนังสือพิมพ์

ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบังคับของข้อกำหนดฉบับนี้ เช่น ไม้ฟืน เป็นท่อน ดุ้น กิ่ง มัด ไม้เป็นชิ้นหรือสะเก็ด รวมทั้งขี้เลื่อย และเศษไม้ ไม้ที่ยังไม่แปรรูป หรือทำเป็นสี่เหลี่ยมอย่างหยาบ หมอนรางรถไฟ หรือรถราง ไม้กระดานลักษณะต่างๆ มีความหนาเกิน 6 มิลลิเมตร แผ่นไม้สำหรับผลิตไม้วีเนียร์ ไม้ที่ทำเป็นลิ้น เป็นร่อง บังใบ มุมเฉลียง ข้อต่อรูปตัววี คิ้ว กรอบ แผ่นชิ้นไม้อัด (พาร์ติเคิลบอร์ด) แผ่นชิ้นไม้อัดเรียงแถว ไฟเบอร์บอร์ดที่ทำด้วยไม้ ไม้อัดพลายวู้ด ไม้อัดวีเนียร์ ลามิเนเต็ดวูด ไม้เพิ่มความแน่นที่เป็นก้อนเหลี่ยม แผ่น แถบ กรอบรูป หีบ กล่อง ถังไม้ต่างๆ วงกบ กรอบประตู กรอบหน้าต่าง แผงไม้ปูพื้นที่ประกอบแล้ว เยื่อกระดาษ และกระดาษ ยกเว้นกระดาษและเยื่อกระดาษที่ทำจากไม้ไผ่หรือกระดาษหรือเศษกระดาษใช้แล้ว เฟอร์นิเจอร์ไม้ เป็นต้น