เมื่อหนุ่มภารตะหันมารักสวยรักงาม

เมื่อหนุ่มภารตะหันมารักสวยรักงาม

จั่วหัวมาแบบนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าหนุ่มภารตะจะเป็น “ผู้ชายนะยะ” กันหมดนะครับ แต่ด้วยความก้าวหน้าและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่ผ่านมา

ทำให้ผู้บริโภคมีรายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สูงขึ้น มีการพัฒนาเมืองให้ทันสมัยมากขึ้น มีการเดินทางไปต่างประเทศกันมากขึ้น และมีการเปิดรับสื่อจากต่างประเทศมากขึ้น ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคอินเดียปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคหนุ่มสาว วัยรุ่น วัยชรา หรือเด็ก แต่ที่โดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัดก็จะเป็นบรรดาหนุ่มๆ ภารตะรุ่นใหม่ทันสมัยทั้งหลายที่มีวิถีชีวิตในสังคมเมืองมากขึ้น ชอบเข้าสังคม สนใจดูแลตัวเองให้ดูดี สรุปคือ เสื้อผ้าหน้าผมต้องพร้อมสำหรับหนุ่มภารตะในสังคมอินเดียยุคใหม่

เริ่มกันตั้งแต่เสื้อผ้า หนุ่มภารตะยุคใหม่ฐานะดีสนใจแต่งตัวพิถีพิถันกันมากขึ้นและมีรสนิยมดีขึ้น โดยจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่มีแบรนด์เนม ทั้งนี้ จากการศึกษาของบริษัทวิจัยตลาด Technopak เมื่อปี 2554 พบว่าตลาดเสื้อผ้าผู้ชายของอินเดียมีสัดส่วนร้อยละ 43 ของตลาดเสื้อผ้าทั้งหมดในประเทศอินเดีย ซึ่งคำนวณแบบคร่าวๆ ก็จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.86 แสนล้านบาท…ขอย้ำว่า “แสนล้านบาท” และคาดว่า จะขยายตัวเป็น 1.1 ล้านล้านบาท ในปี 2559 ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ปัจจุบันเสื้อผ้าผู้ชายที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุด คือ เสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว โดยเสื้อเชิ้ตมียอดขายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของมูลค่ายอดขายทั้งหมดของเสื้อผ้าผู้ชายในตลาดอินเดีย รองลงมา คือ กางเกงขายาว สัดส่วนร้อยละ 23 ส่วนยีนส์ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 9

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของบริษัทฯ พบว่ายีนส์จะมีอัตราการขยายตัวมากที่สุดในตลาดเสื้อผ้าผู้ชาย ส่วนเสื้อยืดทีเชิ้ตก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ในระดับสูง คาดว่าน่าจะขยายตัวถึงร้อยละ 12 ต่อปี จากมูลค่าตลาดเกือบ 3 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ส่วนเสื้อผ้าลำลองที่เรียกว่าแอ็คทีฟแวร์ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีการขยายตัวอยู่ในระดับสูงเช่นกัน หนุ่มภารตะสมัยใหม่จึงไม่ใช่อาบังคนเดิมที่จะสวมใส่อะไรก็ได้แล้ว รูปลักษณ์ภายนอกได้กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในอินเดียให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นจนบริษัทจำหน่ายเสื้อผ้าผู้ชายต้องหันมาเน้นเรื่องการออกแบบแฟชั่นและสีสัน ตลอดจนแบรนด์ ให้เป็นจุดขายสำคัญเพื่อจับตลาดหนุ่มภารตะสมัยใหม่ที่หันมาพิถีพิถันกับการแต่งตัวกันมากขึ้น

ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าเท่านั้นที่หนุ่มๆ ภารตะสมัยใหม่ให้ความสนใจเพิ่มขึ้น แต่ที่คาดไม่ถึงคือ หนุ่มภารตะรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับเรื่องหน้าตาเนื้อตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลการสำรวจตลาดของบริษัทวิจัยตลาด Euromonitor พบว่า ในปี 2554 ผลิตภัณฑ์เสริมหล่อสำหรับผู้ชายในตลาดอินเดียมีการขยายตัวถึงร้อยละ 24 มีมูลค่าตลาดเกือบ 2 หมื่นล้านบาท โดยสาเหตุสำคัญของการขยายตัวอย่างรวดเร็วของผลิตภัณฑ์เสริมหล่อสำหรับผู้ชายในตลาดอินเดียเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการขยายตัวของเมืองใหญ่ รายได้ที่เพิ่มขึ้น การศึกษาดีขึ้น รวมไปถึงการเดินทางติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ส่งผลให้หนุ่มภารตะรุ่นใหม่มีความต้องการให้ตัวเองดูดีมีระดับนั่นเอง ความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมหล่อจึงเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2559 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมหล่อสำหรับผู้ชายในอินเดียจะมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 11 ต่อปี

ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมหล่อสำหรับผู้ชายในอินเดียส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการโกนหนวด เพราะธรรมชาติของหนุ่มภารตะก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอุดมไปด้วยหนวดเครามากมายเหลือเกิน ยกเว้นชาวซิกส์ที่คำสอนทางศาสนาไม่อนุญาตให้มีการตัดผมหรือโกนหนวดเคราโดยเด็ดขาด เลยไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการโกนหนวด ซึ่งประกอบไปด้วยมีดโกนหนวด ใบมีดโกน ครีมโกนหนวด และครีมหรือเจลสำหรับทาหลังโกนหนวด จึงมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 58 ของผลิตภัณฑ์เสริมหล่อทั้งหมดด้วยมูลค่าตลาดในปี 2554 ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท

ส่วนผลิตภัณฑ์เสริมหล่ออีกกลุ่มหนึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางที่ใช้กับร่างกาย ได้แก่ สบู่ เจลอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นตัว ผลิตภัณฑ์ใช้กับเส้นผม และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งมีมูลค่าตลาดในปี 2554 ประมาณ 7.74 พันล้านบาท ที่น่าสนใจ คือ ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นตัวเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงที่สุด ในอัตราร้อยละ 45 ด้วยมูลค่าตลาด 4.84 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางที่ใช้กับร่างกาย อันเป็นผลมาจากการโฆษณาและการส่งเสริมการขายของบริษัทเจ้าของสินค้าที่มองเห็นจุดขายสำคัญว่าหนุ่มภารตะให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นตัวเป็นพิเศษ ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่ากลิ่นตัวเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่อยู่ในใจหนุ่มๆ ภารตะรุ่นใหม่อยู่เหมือนกัน

นอกจากเรื่องกลิ่นตัวแล้ว หนุ่มภารตะรุ่นใหม่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องผิวพรรณเป็นอย่างยิ่ง เชื่อหรือไม่ว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชายเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่มีการขยายตัวอยู่ในอัตราสูง โดยในปี 2554 จากการสำรวจของบริษัท Euromonitor พบว่าตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชายมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 32 ด้วยมูลค่าตลาดเกือบ 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการขยายตัวเฉลี่ยในช่วงปี 2554-2559 ในอัตราร้อยละ 25 ต่อปี แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าแปลกใจมากๆ ว่าสินค้าที่ส่งผลให้มูลค่าตลาดของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชายในตลาดอินเดียเติบโตเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแซงสินค้าตัวอื่นไปเลย ก็คือ ครีมและโลชั่นทาให้ผิวขาว ที่รู้จักกันในชื่อ Whitening Lotion นั่นแหละครับ

นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าป้องกันสิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ทั้งนี้ จากการศึกษาฯ ดังกล่าวพบว่าราคาของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชายในอินเดียมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หนุ่มภารตะรุ่นใหม่ต่างก็ยอมทุ่มทุนควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อกันแบบไม่ยั้ง รวมทั้งยอมเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ระดับพรีเมียมอย่างไม่เสียดายเงินกันเลยทีเดียวขอเพียงแต่ให้ตนเองดูดีเป็นใช้ได้

หนุ่มภารตะรุ่นใหม่ที่พูดถึงนี้จะอยู่ในวัยประมาณ 18-30 ปี แต่แนวโน้มตอนนี้เริ่มขยายวงกว้างไปยังกลุ่มหนุ่มที่มีวัยสูงกว่านี้แล้ว แสดงว่าจำนวนผู้บริโภคในกลุ่มนี้จะขยายตัวต่อไปอีก ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองใหญ่และฐานะทางครอบครัวดี หนุ่มๆ กลุ่มนี้จะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากคนรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะมีพฤติกรรมชอบเข้าร้านทำผม นวดหน้า ทำทรีทเม้นท์หน้า เหมือนกับลูกค้าผู้หญิงทั่วไปซึ่งเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกในสังคมอินเดีย แต่ปัจจุบันก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนจะกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว

พูดเรื่องความรักสวยรักงามของหนุ่มภารตะรุ่นใหม่แล้ว ก็อยากจะให้มองว่าอินเดียปัจจุบันกับอินเดียในอดีตนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อินเดียสมัยใหม่ได้ก้าวตามโลกยุคใหม่มาติดๆ หนุ่มภารตะรุ่นใหม่จึงมีพฤติกรรมการบริโภคและวิถีชีวิตที่ไม่แตกต่างไปจากคนเจเนอเรชั่นเดียวกันในโลกนี้เท่าใดนัก ก็หวังว่าเรื่องราว “รักสวยรักงาม” ของหนุ่มภารตะจะทำให้เราได้แง่คิดด้านการตลาดในอินเดียบ้าง และที่สำคัญเราจะนำ “โอกาสที่คาดไม่ถึง” แบบนี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร...อันนี้เป็นเรื่องน่าคิดยิ่งกว่า