ทองตก ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นทรงๆ ลงทุนยังไงดี

ทองตก ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นทรงๆ ลงทุนยังไงดี

วันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาเป็นสงกรานต์ที่ไม่ร้อนนัก เพราะมีฝนตกหลายวันด้วยกันทั้งกลางวันและกลางคืน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและทำให้เราทั้งหลายไม่สบายใจคือเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำที่ตลาดต่างประเทศมีการปรับตัวอย่างมากจากราคากว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นระดับเกือบแตะ 1,300 ดอลลาร์ และวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดทำการ โดยราคาตลาด ณ บ้านเราเป็นเงินบาทสำหรับรับซื้อ-ขาย ทองคำ 96.5 อยู่ที่ราคา 18,500-19,000 บาท (ต่ำกว่า 20,000 บาท)
และพอเปิด Facebook ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์จนถึงเช้าวันนี้ เรื่องที่กล่าวขานกันเยอะที่สุดคือเรื่องราคาทองคำที่ลดลง หลาย ๆ คนมีทั้งตกใจ มีทั้งดีใจ (จะได้มีโอกาสซื้อทองเสียที เพราะราคาเดิมสูงกว่า 20,000 บาทอยู่หลาย) หลาย ๆ คนทำอะไรไม่ถูกเพราะท้ายที่สุดไม่รู้จะเอาเงินสะสมไปทำอะไรที่ทำให้มูลค่าในอนาคตมียังมีมูลค่าสูงพอให้เอาไปใช้จ่ายได้
หากเราดูสภาพปัจจุบันนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น ทองตก ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นทรงๆ ค่าเงินบาทแข็ง ค่าเงินเยนอ่อน ดูเหมือนว่าปัญหาหลาย ๆ อย่างมาประทังอยู่ด้วยกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้คงเป็นปัญหาที่ต้องบอกว่าเลี่ยงไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าต่าง ๆ (ทองคำ ค่าเงิน ดอกเบี้ย หุ้น ล้วนแล้วเป็นสินค้าอ้างอิงทั้งนั้น) เป็นการเปลี่ยนแปลงตามสภาพที่เกิดขึ้น
บวกกับการเก็งราคา และการเก็งกำไร ซึ่งไม่มีใครคนไหนลงทุนแล้วต้องการขาดทุน และทุกคนต้องการลงทุนให้เกิดผลกำไรในการเพิ่มขึ้นของราคา หรือผลตอบแทนสูงสุด ผมขอจำแนกคำเปรียบเทียบมาสักสองสามคำ ลงทุน เก็งกำไร พนัน คำสามคำนี้น่าสนใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน และขออนุญาตเอาเครื่องมือทางการเงินมาอีกซักสามคำ Forward Future Option เป็นอีกสามเครื่องมือ ผมไม่แน่ใจว่าเราดูคำสามคำสองชุดนี้แล้วเราตอบได้ไหมครับว่าอะไรมีคุณลักษณะอย่างไร
ในปัจจุบันการเลือกซื้อสินค้านั้น มักจะเป็นการเลือกเพื่อให้ผลตอบแทนโดยตรงที่สูงในอนาคต และเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ที่ลงทุนจะต้องมีมูลค่าเปรียบเทียบไม่น้อยกว่าในปัจจุบัน เพื่อชดเชยกำลังซื้อ เงินเฟ้อ และราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
เมื่อเรามองปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2008 ที่เกิด Hamburger Crisis ที่อเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือประชาชนทั่วไปก็จะมีความเป็นห่วงในวิกฤตที่เกิดขึ้นและพยายามหาที่เก็บเงินที่ปลอดภัย และให้มูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งในครั้งนั้นก็จะเลือกลงทุนในทองคำ และจากนั้นเป็นต้นมาราคาทองคำก็มีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่เรื่อย ๆ (สูงขึ้นมากกว่าลดลง) พอเหตุการณ์ในอเมริกาผ่านไปยังไม่ดีขึ้นก็เกิดเหตุการณ์ในยุโรปที่มีหลาย ๆ ประเทศมีปัญหาและอาจจะไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ ก็ยิ่งเป็นผลให้การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
ในตลาดที่ราคาสินค้าเป็นขาขึ้น โอกาสของการทำกำไรในตลาดขาขึ้นนี้ไม่ยากเพราะขอให้ซื้อ และรอเวลาให้สินค้ามีการปรับราคาขึ้น จะกำไรมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับราคาที่ปรับเปลี่ยนไป ซึ่งหากเราเลือกลงทุนในตลาดที่เหมาะสมก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีพอควร สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คำว่าดีพอควรนั้นหมายความว่าอย่างไร บางท่านอาจจะบอกว่า ผลตอบแทนที่น่าจะได้คือ ไม่น้อยกว่าเงินฝากประจำ บางท่านบอกว่าไม่น้อยกว่าเงินเฟ้อ บ้างก็บอกว่าประมาณร้อยละ 10-20 ต่อปีน่าจะดี ซึ่งในแต่ละผู้ลงทุนผลตอบแทนที่ต้องการก็จะแตกต่างกัน
จากผู้ลงทุนเป็นผู้เก็งกำไร และจากผู้เก็งกำไรก็เป็นนักพนัน (การเป็นผู้ลงทุนก็จะพยายามดูเหตุผลของการลงทุน ลงอย่างไร ความเสี่ยงที่รับได้เท่าไร ขาดทุนเท่าไรไม่เสียหายมากเกินไป แต่ถ้าเป็นนักพนันก็จะเป็นการลงทุนโดยอาศัยปริมาณที่มาก และเริ่มใช้อนุพันธ์ในทางที่ไม่เหมาะสมนัก)
ที่น่าสนใจคือ หากท่านพอจำได้ว่าเมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราเคยได้พูดคุยกันเรื่องการนำเอาเครื่องมือทางการเงินมาใช้ในการลงทุน ซึ่งหากเราต้องการซื้อทองคำ 1 บาท เราอาจเอาเงิน 20,000 บาทมาซื้อ แต่พอเราต้องการเอาเงินเท่ากันมาเพื่อให้เกิดผลในประมาณที่มากกว่าเราก็จะทำการซื้ออนุพันธ์ ซึ่งเงิน 20,000 บาท อาจเทียบเท่ากับการลงทุนในทองคำเกือบ 10 บาท (สมมติเกิดจากเงินที่ต้องคงไว้สำหรับการลงทุนเทียบเท่ากับ 10% โดยประมาณ) ซึ่งหากราคามีการเปลี่ยนแปลงไป การลงทุนในการซื้อทองคำโดยตรงก็จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในอนุพันธ์ และหากราคาทองลดลงไป 10% การลงทุนในทองคำโดยตรงก็จะขาดทุนไป 10% คงเหลือมูลค่าประมาณ 90% โดยหากลงทุนในอนุพันธ์ก็จะทำให้เงินในการลงทุนนั้นหมดไปทั้งหมด
การลงทุนในปัจจุบันถึงแม้บ้างครั้งเรา (ซึ่งคือตัวเราเอง) เลือกแล้วว่าเราจะเป็นผู้ลงทุนตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง หรือ เอาเงินที่จะลงทุนโดยตรงไปลงทุนในอนุพันธ์ทั้งหมด แต่เราก็ไม่ใช่คนๆ เดียวในตลาด ซึ่งในตลาดปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดที่มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงนั้นก็จะมีคนที่เป็นนักลงทุนจริง ๆ ไม่มาก แต่เป็นนักเก็งกำไร และนักพนันอยู่จำนวนมาก และผลของการเป็นนักเก็งกำไร หรือนักพนันนั้น ก็จะทำกำไรไม่ว่าจะเป็นตลาดขาไหน ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงก็ตาม
ในอดีตนั้นเราเห็นบ่อยครั้งว่านักเก็งกำไรเทขายสินค้า หรือสินทรัพย์ออกมาจำนวนมาก และทำกำไรจากการขายสินค้าที่ไปยืมคนอื่นๆ มา และทำการซื้อกลับเมื่อราคาสินค้าลงต่ำถึงจุดที่ตั้งใจไว้ การเก็งกำไรเป็นการทำร่วมกันหลายคนเป็นกลุ่ม ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเราจะเป็นเหยื่อในการเก็งกำไรเมื่อไหร่
หากพิจารณาในสถานการณ์ปัจจุบันนี้นั้น สภาพการของการปรับราคาสินค้าต่างๆ ในอนาคต อาจไม่ได้ปรับเปลี่ยนสูงขึ้นมากนัก เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจในอเมริกาอยู่ในสภาพคงที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง การซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงมีน้อยลง และสถานการเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับไม่สูงนัก ราคาน้ำมันก็ปรับลดลง เป็นผลให้การขายสินค้าเพื่อ Hedge สิ่งที่กล่าวมานี้เกิดขึ้น นั่นคือการปรับสัดส่วนของทองคำลง และรวมถึงการเก็งกำไรของตลาดขาลงอีกประการหนึ่ง
ในการลงทุนปัจจุบัน ต้องบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ง่าย และตลาดจะไม่เป็นตลาดที่มีทิศทางเดียวเหมือนเมื่อ 3-5 ปีก่อน การเก็งกำไรโดยอาศัยและหวังว่าจะสามารถทำกำไรไม่ต่ำกว่า 10-20% นั้นทำได้ยากกว่าเดิม และการใช้อนุพันธ์ถ้าเราเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักเก็งกำไร หรือนักพนัน ผมต้องขอให้ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเงินต้นให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นเงินต้นทั้งก้อนก็จะไม่เหลือ
นอกจากนี้จากสถานการณ์ที่เงินเยนมีค่าที่อ่อนค่าลงกว่า 20% ในปัจจุบันเทียบกับปีที่แล้ว อาจเป็นผลให้เศรษฐกิจหลาย ๆ อย่างของเราไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดนัก ฉะนั้นเราต้องวางแผนมากกว่าเดิม ประเมินรายได้ให้ดี รายรับ รายจ่าย และเงินที่จะต้องมีในอนาคต เพราะเงินที่จะได้มานั้นจะหายากขึ้นกว่าเดิมมาก และจะเสียไปได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก และการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงตลาดนั้นเสี่ยงอยู่แล้ว แต่การเลือกเครื่องมือทางการเงินและใช้ไม่เหมาะสมเสี่ยงกว่า