หุ้นเก็งกำไรคืนชีพจริง หรือแค่เกมปล่อยของ

หุ้นเก็งกำไรคืนชีพจริง หรือแค่เกมปล่อยของ

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 17 ปี แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างก็ประเมิน

ในทิศทางเดียวกันกับหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง หุ้นหลายบริษัทราคาทุบสถิติในรอบหลายปี สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเป็นกอบเป็นกำ ไม่เว้นแม้แต่หุ้นขนาดเล็ก ที่ถูกดองเค็มมานาน เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

หุ้นเก็งกำไรหลายบริษัทที่เหมือนจะหมดอนาคต ราคาต่อหุ้นต่ำบาท บางตัวอยู่ที่ 1-5 สตางค์เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหุ้นบริษัท แนเชอรัลพาร์ค หรือ N-PARK หุ้นอินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง หรือ IEC ที่เคยย่ำอยู่ที่ 1-2 สตางค์มาหลายปี หรือแม้กระทั่งหุ้นไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น หรือ LIVE ต่างก็ขยับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้บรรดาแมลงเม่าที่นิยมของร้อน high risk high return อดไม่ได้ที่จะโดดร่วมวงรอบนี้ นักลงทุนหลายรายที่เป็นเสือปืนไว เก็บหุ้นเข้าพอร์ตตั้งแต่ราคาไม่ถึงไหน ก็เริ่มสบายใจขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยก็มีต้นทุนที่ถูกกว่านักลงทุนที่กำลังจดๆ จ้องๆ อยู่

เพราะหากการฟื้นคืนชีพของหุ้นเก็งกำไรในรอบนี้ เป็นการกลับมาแบบเทิร์นอะราวด์ ทั้งในแง่ของราคาหุ้นและปัจจัยพื้นฐาน ก็ถือว่าเป็นความโชคดี แต่หากราคาหุ้นที่หวือหวาขึ้นมา เพียงเพราะแค่แรงเก็งกำไร เป็นการปล่อยข่าวลวง เพื่อปล่อยของ ก็ต้องทำใจเตรียมพบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย

หุ้นเก็งกำไรที่ดาหน้าขึ้นมาในช่วงที่ตลาดหุ้นสดใสแบบนี้ ใช่ว่าจะไร้อนาคตจะทีเดียว เพราะอย่าลืมว่าหุ้นเล็กแม้จะหมดอนาคตในเชิงการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในตัวบริษัทก็ยังมีมูลค่า การคงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนก็ถือเป็นมูลค่าเพิ่ม หลายบริษัทอาจจะเป็นเป้าหมายการเข้าตลาดหุ้นทางอ้อม หรือที่เรียกกันว่า แบ็คดอร์ลิสติ้ง ของผู้ประกอบการธุรกิจนอกตลาด ที่ต้องการนำธุรกิจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญในการพลิกฟื้นปัจจัยพื้นฐานของบริษัทได้

นักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นประเภท high risk high return ต้องขยันทำการบ้าน หาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ใช่แค่ลงทุน เพราะเขาบอกว่าหุ้นจะไปเท่าโน้น เท่านี้ แต่ต้องรู้ลึก และรู้จริงจึงจะทันเกมหุ้นประเภทนี้ได้
จากนี้ไปคงต้องโฟกัสดูหุ้นเก็งกำไร ขนาดเล็ก ที่ถูกแช่แข็งมานานว่าจะถูกปลุกขึ้นมาเล่นเมื่อไหร่ เพราะยิ่งตลาดหุ้นขาขึ้นแบบนี้แล้ว น่าจะเป็นโอกาสของบรรดาเจ้ามือ เจ้าของหุ้น ที่จะลุกขึ้นมาปัดฝุ่นหุ้นของตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป

ส่วนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ผู้บริหารก็ต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นหลายบริษัทขึ้นมายืนสูงกว่าพื้นฐาน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องเร่งสร้างผลงานให้ตามทันราคาหุ้น เพราะหากปล่อยให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีพื้นฐานรองรับ สุดท้ายอาจจะเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นได้