Where Chill View Share สิ่งที่เราอยากบอก
คุยกับสองสาว ผู้สะท้อนเรื่องราวของคนพิการผ่านรายการโทรทัศน์ที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย
ถ้าติดตามข่าวสารในแวดวงผู้พิการมาบ้าง คุณคงคุ้นหน้ากับ หนู-นลัทพร ไกรฤกษ์
บางคนนิยามเธอเป็น “นักข่าววีลแชร์” เพราะเธอเป็นนักข่าวซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องใช้รถวีลแชร์ในชีวิตประจำวัน เคยเป็นเจ้าของเพจ “กล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคของเรา โลกของเรา” เป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ ThisAble.me ซึ่งชวนทุกคนมาตั้งคำถามถึงผู้พิการในมุมมองที่ไม่คุ้นเคย อย่าง คนพิการมีอารมณ์ทางเพศไหม? ตาบอด มองไม่เห็น แล้วเล่นโทรศัพท์อย่างไร? พิการแล้วอยากแต่งตัวไปทำไม?
ส่วน จิ-จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ ร่างกายปกติในทุกๆอย่าง เธอเป็นอดีตนักข่าวฟูลไทม์ของสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง สนใจประเด็นเรื่องสื่อ แรงงาน และวัฒนธรรมร่วมสมัย
พล็อตเรื่องทั้งหมดคงเป็นประมาณนี้ จนกระทั่งเธอทั้ง 2 มาร่วมกันทำรายการ Where Chill View Share ซึ่งว่าด้วยผู้หญิง 2 คนซึ่งแตกต่างกันทั้งด้านร่างกายและบุคลิก แต่ต้องมาเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่อยากจะบอกอะไรกับพวกเราสักอย่างหนึ่ง
จุดเริ่มต้นของ Where Chill View Share
หนู:มันเป็นโปรเจคที่ต่อเนื่องมาจาก Thisable.me และเราตั้งใจว่าอยากจะทำสารคดีที่เกี่ยวกับคนพิการสักชุดหนึ่ง แต่ถ้าเอาคนพิการไปเที่ยวเฉยๆ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองมันก็มีคนทำมาพอสมควรแล้ว จึงหยิบสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นสถานที่ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่าใครๆก็ไปได้มาเป็นพิกัด แต่จะไปเที่ยวเฉยๆอย่างเดียวก็คงไม่ได้อีก มันจึงจะมีเรื่องประเด็นในพื้นที่ที่เราลงไปสัมภาษณ์ชาวบ้านตรงนั้นด้วย
จิ:ตอนเลือกสถานที่ไป เราก็คิดว่าอยากจะไปมันทุกภาคนี่แหละ เราตั้งต้นในจังหวัดที่เราอยากไปก่อน พอมีที่หมายก็สำรวจหาข้อมูล แล้วก็ไปถ่ายทำกันจริงๆ มันจึงเป็นนำเสนอแบบผสมทั้งในสิ่งที่เราตั้งใจแล้วก่อนไป เช่น ตอนเราไป จ.อุบลฯ ก็ตั้งใจว่าจะไปที่เขื่อนปากมูล ไป จ.ระยอง ก็อยากจะคุยกับผู้พิการที่บาดเจ็บจากการทำงาน ไปปัตตานีเพื่อไปคุยกับหลานหะยีสุหลง แต่ภาพของอุปสรรคระหว่างทาง เช่น ไม่มีทางลาด การเอารถเข็นเข้าห้องน้ำ การเดินทางที่ไม่ใช่รถส่วนตัว คือเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อน เพราะถ้าอ่านรีวิวท่องเที่ยว ในมุมของคนพิการไปเที่ยวนี่มีน้อยมาก หรือบางที่แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ฟีดแบ็ครายการท่องเที่ยว ผสมประเด็นสังคมเรื่องผู้พิการ
จิ:ถ้าฟีดแบ็คในเชิงยอดวิวมันกระจัดกระจายนะ ทั้งใน Facebook ใน YouTube คือมียอดชมระดับหนึ่ง แต่ที่พูดเหมือนกันคือทุกคนบอกว่ามันเป็นธรรมชาติดี ส่วนหนึ่งเพราะรายการนี้มันไม่มีบท อีกอย่างคือมันดูไม่ดราม่า ไม่ดูรันทด กลับกันที่หนู ซึ่งเป็นผู้พิการในรายการนี้จะดูร่าเริง น่าหมั่นไส้ไปด้วยซ้ำ (หัวเราะ)
หนู:เวลามีวีลแชร์ไปตามที่ต่างๆ มันดูว่าคนพิการนี่ลำบากใช่ไหม จะขึ้น-ลงบันได ใช้รถไฟ ลงรถ เดินตลาดนัดหาของกิน หลายครั้งเนื้อหาในสื่อที่ว่าด้วยคนพิการ มันมักเป็นการนำเสนอว่าผู้พิการต้องรอให้คนปกติทำอะไรสักอย่าง ส่วนคนไม่พิการก็ต้องช่วยเหลือ ไม่งั้นจะไม่ใช่คนดี ดูแย่ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะนำเสนอในแบบนั้น จึงนำเสนอในมุมของเพื่อน ซึ่งไม่ต้องเกรงใจกัน
จิ: คือน้องมันไม่ถูกโอ๋ไง เพราะว่าเราก็สนิทกัน มันเลยออกแนวๆ ไม่ต้องทะนุถนอม ช่วยเหลือในยามที่คิดว่าต้องช่วยเหลือเท่านั้น
หนู: เห็นแบบนี้ พี่จิ ผ่านการออดิชั่นมาแล้วนะ คือตอนแรกเขาวางตัวเราไว้ก่อน แล้วก็หาพิธีกรอีกคนมาเสริม ใครสนใจก็มาลองทำกิจกรรม มาตอบคำถาม จนในที่สุดเราเลือกพี่จิเพราะว่าเขาเป็นคนเข้าใจประเด็นระดับหนึ่ง แล้วมันไม่รู้สึกเกรงใจ เมื่อเทียบกับคนอื่นที่อายุมากกว่า ไม่รู้จักกันมาเลย
ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งเกรงใจ ปัญหาของผู้พิการ
หนู:จริงๆ เราก็เกรงใจทุกคนถ้าจะให้เขาช่วย แต่ถ้าไม่สนิทเราก็อาจจะไม่กลัวที่ต้องไหว้วาน เช่น จะเดินขึ้นบันไดก็บอก “พี่คะ พอจะช่วยยกรถให้หน่อยได้ไหม” เสร็จแล้วก็ขอบคุณกันไป จบชาตินี้อาจไม่เจอกับเขาอีกแล้ว แต่พอคนสนิทกัน แล้วต้องอยู่ด้วยนานๆ เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน แล้วเขาต้องทำแบบนั้น ซ้ำๆทุกวัน มันเลยเกิดความรู้สึกเกรงใจ มองว่าสิ่งที่เราเป็นมันน่าจะเหนื่อยสำหรับเขา คงคล้ายๆกับว่า แม่ต้องดูแลลูกพิการทุกวัน บางทีลูกก็จะรู้สึกไม่อยากออกไปไหน หรือไม่อยากทำอะไรที่มากกว่ากิจวัตรปกติเพราะกลัวแม่จะเหนื่อย แต่ถ้าสมมติว่าลูกสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้หมด มันก็คงไม่เกิดสภาวะนี้
จิ:สำหรับเรา ถ้าเป็นหนู เราจะพูดตรงๆ อย่างตอนหนึ่ง (อุ้มลงบันได) ที่น้องถามว่า “ไหวไหม” แล้วเราก็บอกว่า “เลิกถามแบบนี้ได้แล้ว” เราพูดแบบนั้นเพราะไม่อยากตอบคำถามอีก แล้วเราก็ยังรู้สึกว่ายังไหวไง คือถ้าไม่ไหวก็จะบอก เพราะคุยกันหลายรอบแล้วว่าถ้าจะเกิดอุบัติเหตุ คนจะเจ็บคือพวกเราเอง ดังนั้นเราต้องรู้ตัวเอง ไม่ต้องถามเพราะเกรงใจกัน
หนู: เราไม่แน่ใจไง เพราะเราเองก็ตัวหนักและ ทางลงก็ค่อนข้างจะน่ากลัว (บันไดลงไปแม่น้ำที่มีความชันสูง) ทางเดินก็เป็นหินและมันน่าจะลื่นและไม่ถนัด เลยถามย้ำ
จิ: เรื่องความไม่แน่ใจนี่คงมีตลอด อย่างเรื่องเข้าห้องน้ำ ซึ่งหนูจะดื่มน้ำน้อยและไม่ค่อยไปเข้าห้องน้ำ ตรงข้ามกับเราที่ดื่มน้ำเยอะแล้วเข้าห้องน้ำบ่อย เราก็จะคิดว่า “เฮ้ย หนูมันจะอยากเข้าห้องน้ำไหม” ก็เลยต้องคอยถามตลอด คือกลัวมันเกรงใจไง แต่พอถามมากก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญเหมือนกัน
หนู:เราเข้าใจนะมุมนี้ บางทีก็ไม่ได้ปวด แต่พอเห็นพี่เขาไปเข้าห้องน้ำแล้วชวนเรา ถึงไม่ปวดเราก็ไปหน่อย
จิ:ลองคิดถึงห้องน้ำบนรถทัวร์ หรือบนรถไฟ คือมันยากมากๆที่คนพิการจะไปคนเดียวได้ เกือบทุกขบวนมันเป็นประตูลูกบิด ซึ่งมันค่อนข้างแข็งและหนัก มันไม่มีทางเลยที่จะเข็นรถไปเข้าคนเดียว หรือสามารถบิดประตูขณะที่นั่งบนวีลแชร์ มันต้องมีคนปิดเปิดประตูให้
หนู:ยิ่งก๊อกน้ำแบบกด นั่งบนรถเข็นนี่หมดสิทธิ์เลยนะ เพราะระบบกด มันถูกออกแบบให้ต้องใช้น้ำหนักตัวช่วยกดลงไป ซึ่งร่างกายของคนอยู่บนรถเข็นไม่สามารถทำได้เลย
ชีวิตนอกรถเข็นเป็นอย่างไร
จิ:ถ้าอยู่นอกซีน ก็คุยกันตลอดนะ อย่างอยู่ในห้องพักก็เจอปัญหาแบบว่าเอารถเข็นเข้าห้องไมได้ หรือคิดว่าจะเอาเก้าอี้ให้น้องนั่งอาบน้ำอย่างไร บางทีกลับมาเหนื่อย ก็อาบน้ำนอน อาจจะเตรียมว่าพรุ่งนี้ไปไหน ต้องถ่ายอะไรบ้าง
หนู:ถ้าถามเรื่องความชอบ เราชอบชอปปิ้ง และก็ชอบแฟชั่นเพราะเรียนศิลปะมา เวลาว่างก็มีงานอดิเรดกคือจับทุกคนในออฟฟิศทาเล็บ (หัวเราะ) หรือไม่ก็ทำกับข้าว ทำขนม นี่คืองานหลัก อาจจะสั่งงานด้วยเสียง แต่ถ้าถามว่านอกจากเรื่องคนพิการ เราชอบประเด็นอะไร จริงๆก็มีหลายเรื่องนะ นอกจากศิลปะ แฟชั่น เราชอบเรื่อง Gender (เพศสภาวะ) เพราะคิดว่าถ้าเรารู้เรื่องนี้มากขึ้น มันก็จะสื่อสารได้ตรงกับความต้องการและเป็นประโยชน์ คือเรื่อง Gender จะว่าไปมันก็มีความคล้ายคนพิการนะ คือมีทั้งความเข้าใจผิด และมุมมองที่คนทั่วไปมองเข้ามา ตอนเราเริ่มทำข่าวก็จะตามประเด็นเรื่องนี้ ไปตามกลุ่มเพื่อกระเทย กลุ่มคนข้ามเพศ ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องของสิทธิมนุษยชน
สังคมไทยกับความก้าวหน้าในการนำเสนอข่าวเรื่องผู้พิการ
จิ:พูดแค่ข่าวมันอาจยังนึกไม่ออก แต่โอเคเนื้อหาในภาพรวมทั้งหมด เราว่ามองมองเรื่องผู้พิการ บริบทแวดล้อม หรือการนำเสนอที่ไกลไปจากเรื่องเฉพาะตัวมันเยอะขึ้น หลากหลายขึ้น แต่ไอ้ที่นำเสนอแบบเดิมที่พยายามจะสื่อถึงความน่าสงสารของผู้พิการยังมีอยู่จริงๆ ทั้งที่เรื่องนี้มันเชื่อมโยงกับ เด็ก คนชรา คนตาบอด ซึ่งสุดท้ายแล้วเราไม่ได้เรียกร้องว่าต้องทำอะไรให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่ได้ออกแบบทางลาดเพื่อให้หนูมันคนเดียว แต่คือทำอย่างไรให้คนทุกคนเข้าถึง และใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่ต่างกัน
หนู:เราไม่ได้ต่อต้านการนำเสนอข่าวคนพิการในเชิงรันทด โดยที่ตอนจบขอเลขบัญชีบริจา่คว่าไม่ดีนะ ข้อดีมันยังมีแน่ในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เพราะมันก็มีคนพิการที่ต้องรับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่ก็ต้องจัดวางให้สมดุลกัน เพราะยังมีกลุ่มคนพิการที่ต้องการมีชีวิตปกติ แต่เพราะมีความแตกต่างทางร่างกาย พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์นั้น
เปรียบเป็นเก้าอี้สักตัวที่ถูกออกแบบ มันก็ต้องเป็นเก้าอี้ที่คนตัวสูงนั่งได้ คนตัวเตี้ยนั่งได้ โดยมีค่ามาตรฐานการออกแบบด้วยความสูงที่ทุกคนสามารถนั่งได้สบายอยู่ แต่วันนี้คนพิการยังไม่ถูกนับไง รอบๆตัวจึงไม่ได้ถูกออกแบบสำหรับคนกลุ่มนี้ เมื่อสักวันผู้คนเข้าใจว่าความแตกต่างมันไม่ได้มีแค่ คนสูง คนเตี้ยเท่านั้น แต่มันมีคนนั่งวีลแชร์ มีคนตาบอด หูหนวก ผู้ป่วยชั่วคราว ผู้สูงอายุ ฯลฯ เก้าอี้ตัวเดิมที่เคยมีแบบเดียวก็อาจจะต้องเปลี่ยนหน้าตาไป อาจจะมีล้อ มีเสียง นั่นก็เพื่อเป็นไปตามความหลากหลายของคนที่มากขึ้น
สังคมเราก็คงไม่ต่างจากเก้าอี้ตัวนั้นที่ต้องเรียนรู้ว่ามนุษย์เรามีหลายประเภท
นี่แหละ ที่พวกเราอยากบอก