แซง และ ถูกแซง

ผู้คนในยุคสมัยที่ถอยเวลาย้อนหลังไปประมาณสักสามสิบปีหรือมากกว่านั้น กว่าที่จะมีโอกาสได้ขับรถยนต์
กับเขาสักครั้งหนึ่ง ต้องผ่านทั้งการล้างรถ, เช็ดรถ, ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง, ตรวจและเติมน้ำในหม้อน้ำ, เปลี่ยนหลอดไฟเบรก,ไฟท้าย และ ไฟเลี้ยวด้วยตนเอง ฯลฯ แล้วยังต้องถูกนำตัวไปฝึกสอนให้หัดขับรถยังสถานที่ซึ่งมีบริเวณกว้างขวางเพียงพอ ผู้ทำหน้าที่สอนส่วนใหญ่ก็เป็นคนในครอบครัว หรือเป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกันดี เช่นญาติหรือแฟน เป็นต้น
กว่าที่ใครคนหนึ่งจะมีโอกาสจับพวงมาลัยขับรถยนต์ออกสู่ถนนสาธารณะได้ ก็ต้องใช้เวลานับจากเริ่มต้นที่ถูกสอนให้รู้จักรถยนต์นานไม่น้อยกว่า 1 ปี และนับจากวันที่สามารถติดเครื่องยนต์และนำพารถยนต์เคลื่อนที่ออกตัวไปได้ โดยที่เครื่องยนต์ไม่เกิดอาการกระตุกดับ ก็ต้องกินเวลานานเป็นเดือนเช่นกัน ยิ่งเป็นการขับรถบนทางหลวงแผ่นดินระหว่างจังหวัด ยิ่งต้องใช้เวลาในการถูกขับเคี่ยวอบรมบ่มวิชาการอยู่นานมากขึ้นไปกว่านั้นอีก เพราะคนในยุคนั้นรู้ดีว่าการขับรถยนต์บนทางหลวงแผ่นดินระหว่างจังหวัด ต้องใช้ความชำนาญมากและมีวิธีการในการควบคุมรถต่างไปจากการขับรถในเมืองทั่วไป
ตัวคนที่ทำหน้าที่ขับรถยนต์เองก็จะรู้ตัวดีว่า ตนเองมีความสามารถเพียงพอหรือยัง กับการต้องรับหน้าที่เป็นผู้ขับรถออกต่างจังหวัด อาจจะเป็นด้วยว่ารถยนต์สมัยนั้นไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบต่างๆเข้ามาช่วยเหลือผู้ขับเหมือนรถในปัจจุบัน และสภาพทางกายภาพของถนนส่วนใหญ่ ยังเป็นแบบรถวิ่งสวนทางขึ้นล่องกันเพียงแค่ฝั่งละ 1 เลน โดยไม่มีเกาะกลางถนนมาแบ่ง ทำให้การขับรถสวนทางกันต้องกะระยะให้แม่นยำไม่ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนน และยิ่งยากมากขึ้นเมื่อถึงจุดที่ต้องการแซงรถคันที่วิ่งอยู่ข้างหน้า เพราะต้องคำนวณความเร็วของรถที่กำลังจะถูกแซง และยังต้องคำนวณระยะทางและความเร็วของรถที่กำลังวิ่งสวนทางมาแต่ไกล เพื่อทำความเร็วของรถตนเองในขณะแซง ให้ผ่านและเปลี่ยนกลับเข้าเลนของตนเองให้ได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด มิฉะนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของทุกคนในรถ ไปเสี่ยงกับการถูกชนแบบประสานงาเพราะแซงไม่พ้น
ต่างจากคนขับรถยนต์สมัยนี้ซึ่งเพียงแค่หัดขับรถได้ไม่กี่วัน ก็กล้าที่จะนำรถออกไปขับบนถนนสาธารณะโดยไม่กลัวอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่ารถยนต์ที่ตนเองใช้งานมีระบบต่างๆ มาช่วยเพื่อให้สามารถขับในสภาวะต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และแม้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็เชื่อมั่นในระบบคุ้มครองความเสียหายของตัวรถ ว่าจะช่วยลดความสูญเสียหรือจะช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดภยันตรายมาถึงตัวคนที่อยู่ในห้องโดยสารได้ อีกทั้งยังมีระบบประกันภัยที่มาคอยช่วยเป็นธุระและเป็นภาระให้หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ
ถนนที่เป็นทางหลวงแผ่นดินระหว่างจังหวัด ก็พัฒนาขึ้นเป็นถนนที่มีความกว้างหกหรือแปดช่องทาง แถมยังมีเกาะกลางถนนในรูปแบบต่างๆ มาเป็นตัวกันชน ไม่ให้รถที่วิ่งขึ้นและล่องต้องมาสวนทางกันให้เกิดอุบัติเหตุขณะแซงอีกด้วย คนขับรถในปัจจุบันนี้จึงกล้าที่จะขับรถยนต์ของตนเองออกไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้แต่คนที่ไม่รู้ว่าเมื่อต้องขับรถขึ้นและลงจากภูเขาที่มีทางลาดสูงชันควรจะต้องใช้เกียร์และเบรกอย่างไร ก็ยังกล้าที่จะขับรถส่วนตัวด้วยตนเองเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลที่มีจำนวนรถยนต์บนท้องถนนมากมายมหาศาล ซึ่งเท่ากับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุที่มีจำนวนมากขึ้นทุกปีอีกด้วย
คนขับรถสมัยนี้ไม่สนใจว่าเมื่อจะถูกรถคันอื่นแซงขึ้นหน้าตนเองต้องทำอย่างไร และไม่รู้ว่าเมื่อตนเองต้องการแซงรถคันอื่นที่วิ่งช้ากว่าข้างหน้า ตนเองควรจะต้องทำอย่างไรและขับอย่างไรจึงจะทำให้การแซงนั้นผ่านไปได้ด้วยดีและปลอดภัยแก่ทุกคนบนท้องถนน ทุกคนรับรู้เพียงแค่ว่าก็บังคับรถให้วิ่งตรงไปบนช่องทางของตนเอง ด้วยความเร็วที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น
ทั้งที่หลักการแซงและถูกแซงอย่างปลอดภัยมีเพียงสั้นๆ ว่า "รถที่ถูกแซงต้องเปิดทางให้รถที่แซงวิ่งผ่านขึ้นหน้าได้สะดวก ส่วนรถที่ต้องการแซงต้องทำการแซงผ่านขึ้นไปด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด" เท่านี้เอง โดยในหลักการปฏิบัติก็คือเมื่อเห็นว่ามีรถแล่นตามหลังมาและให้สัญญาณขอแซงผ่านขึ้นหน้า รถที่จะถูกแซงเห็นว่าทางข้างหน้าโล่งและปลอดภัยเพียงพอ ก็ให้สัญญาณตอบด้วยการเปิดไฟเลี้ยวซ้ายพร้อมกับหักพวงมาลัยหลบชิดช่องทางด้านซ้ายและชิดเส้นขอบทางด้านซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการแซงให้แก่รถที่ต้องการแซง
หากเห็นว่าอยู่ในภาวะคับขัน การแซงครั้งนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เพราะรถที่แซงไม่สามารถผ่านไปได้ก่อนที่รถซึ่งแล่นสวนมาจะมาถึงจุดแซง รถที่ถูกแซงก็ต้องแสดงมารยาทด้วยการลดความเร็วของรถตนเองลงเล็กน้อย เพื่อให้การแซงผ่านไปได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ในขณะที่รถซึ่งต้องการแล่นแซงผ่านหน้ารถคันอื่น เมื่อได้รับสัญญาณอนุญาตให้แซงได้แล้ว ก็ต้องรีบเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาพร้อมกับเลี่ยนช่องทางออกไปทางขวา และเพิ่มระดับความเร็วให้มากขึ้นด้วยการกดแป้นคันเร่งเพิ่มลงไป เมื่อเห็นว่าแซงผ่านไปแล้วจึงให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายและนำรถกลับเข้าช่องทางเดินรถด้านซ้ายตามปรกติ และลดความเร็วลงเหลือในระดับเดิมก่อนที่จะทำการแซง
หากทั้ง 2 ฝ่ายเรียนรู้วิธีการแซงและถูกแซงอย่างถูกต้อง ส่วนหนึ่งของสถิติการเกิดอุบัติเหตุก็จะลดลงได้ไม่ยากนักครับ




