บสย. โตโยต้า ลุยสินเชื่อ กระบะพี่มีคลังค้ำ หลังปลดล็อก นอนแบงก์   

บสย. โตโยต้า ลุยสินเชื่อ กระบะพี่มีคลังค้ำ หลังปลดล็อก นอนแบงก์   

บสย. ผนึก “โตโยต้า ลีสซิ่ง” ปลดล็อกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซื้อปิกอัพ ลุยปล่อยสินเชื่อ ค้ำประกัน วงเงินสูงสุด 1.5 ล้านบาท เพิ่มโอกาส เอสเอ็มอี รายย่อย ตกหลักเกณฑ์บริษัท  

ตลาดปิกอัพเคยเป็นกลุ่มรถที่ครองสัดส่วนสูงสุดในตลาดรถยนต์ไทย แต่สถานการณ์เศรษฐกิจที่ซบเซาหลายปี และเกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้ตลาดปิกอัพหดตัวอย่างรุนแรง โดยปี 2567 ติดลบ 26% และช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. ปีนี้ติดลบกว่า 15% 

นอกจากภาพรวมเศรษฐกิจ สิ่งที่ผลกระทบต่อตลาดปิกอัพที่สำคัญคือ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินทำให้มีสัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำเติมตลาดเพราะผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ 

ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงการเปิดโครงการ “กระบะพี่มีคลังค้ำ” โดย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่าง รวมถึงคุณสมบัติของสถาบันการการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

ล่าสุดวันที่ 4 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีการปรับแก้ประกาศกระทรวงการคลัง ให้ บสย. สามารถขยายการค้ำประกันสินเชื่อไปยังผู้ให้บริการสินเชื่อประเภท Non-Bank  (นอน-แบงก์) กลุ่มลีสซิ่ง ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงลีสซิ่งของค่ายรถยนต์ (Captive Finance) ได้ ทำให้ บสย. สามารถขยายขอบเขตการช่วยเหลือ เอสเอ็มอี รายย่อยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น 

หลังการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข  ล่าสุด บสย. จับมือ “โตโยต้า ลีสซิ่ง” เพื่อค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถปิกอัพเชิงพาณิชย์ เพื่อช่วยกลุ่มเอสเอ็มอี รวมถึงกลุ่มเกษตรกร และธุรกิจขนส่งขนาดเล็ก ที่อาจมีรายได้ไม่สม่ำเสมอ สามารถเข้าถึงสินเชื่อซื้อรถปิกอัพได้ง่ายขึ้น ช่วยปลดล็อกให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน และช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ซบเซาให้กลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวม  

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า การร่วมมือกับ โตโยต้า ลีสซิ่ง เพื่อค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะเชิงพาณิชย์ ผ่านมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” สำหรับเอสเอ็มอีที่ยื่นขอสินเชื่อเช่าซื้อกับโตโยต้า ลีสซิ่งโดยใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ

โดยจะได้สิทธิประโยชน์จาก บสย. คือ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมต่ำ 1.5% ต่อปีของภาระหนี้ค้ำประกันในแต่ละปี 

โดยการค้ำประกันสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด วงเงินค้ำประกันสูงสุด 1.5 ล้านบาท/ราย โดย บสย. ตั้งเป้าว่ามาตรการนี้จะช่วยปลดล็อกเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น สนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้กลับมาคึกคัก

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเอสเอ็มอีและกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย มีความสำคัญต่อยอดขายรถยนต์โตโยต้าเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันตลาดรถยนต์ปีนี้ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายมาก ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีห่วงโซ่การผลิตที่ยาวและพึ่งพาซัพพลายเออร์ในประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบริษัทที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ หรือ Local Content ในสัดส่วนสูง 

“ตัวอย่างเช่น ปิกอัพโตโยต้า ไฮลักซ์ มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศสุงสุดถึง 95% ดังนั้น เมื่อยอดขายลดลง จึงส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ”

สถานการณ์ดังกล่าวยังสะท้อนกลับมายังภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากภาคยานยนต์ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย 

โดยสถานการณ์ล่าสุดของของตลาดปิกอัพ พบว่าปิกอัพเพื่อการบรรทุก (Pure Pick up) หรือปิกอัตอนเดียวปริมาณการขายสะสมเดือนม.ค. – ก.ย.อยู่ที่ 107,150 คัน ลดลง 15.3% สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในระดับสูง สร้างความกดดันด้านความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากความร่วมมือในครั้งนี้ซึ่งทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นจะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมยอดขาย และช่วยรักษาความต่อเนื่องของอุตสาหกรรมได้ และจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอย่างแท้จริง

“ต้องขอบคุณที่ บสย. เปิดโอกาสให้ Captive Finance ของโตโยต้าได้เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากบริษัทใช้ Captive Finance มากกว่า 60–70%” นายศุภกร กล่าว 

นางสาวชื่นกมล ทัพพะรังสี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่อาจมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ มาตรฐานของบริษัท 

ทั้งนี้คาดว่าจากการมี บสย. เข้ามาค้ำประกัน จะช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ให้กับโตโยต้า ลีสซิ่ง ควบคู่ไปกับการผลักดันยอดการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถปิกอัพเพื่อการพาณิชย์ให้เติบโตขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายโอกาสทางธุรกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่ตลาดรถยนต์โดยรวม

นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า การปลดล็อกให้กับนอน-แบงก์ กลุ่มลีสซิ่ง สามารถเข้าร่วมโครงการกับ บสย. ถือเป็นมิติใหม่ในวงการธุรกิจเช่าซื้อไทย เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรถปิกอัพมาจากสถาบันการเงิน 50% และกลุ่ม นอน-แบงก์ 50% ซึ่งนอน-แบงก์ ส่วนใหญ่จะมาจาก Captive Finance 

ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมธุรกิจเช่าซื้อ นำสู่การขยายความร่วมมือระหว่าง นอน-แบงก์ กับ บสย. ไปสู่โครงการอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอีได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมผลักดันยอดขายรถยนต์ที่ซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจ

สำหรับมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของรัฐบาล เพื่อช่วย SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เพื่อสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ เพิ่มโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อให้กับ เอสเอ็มอีที่มีความจำเป็นต้องใช้รถปิกอัพเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร รับเหมาก่อสร้าง ขนส่งสินค้า ค้าขาย หรือว่า ฟู้ดทรัค เป็นต้น