โตโยต้า bZ4X อีวี ของคนชอบขับ จุดขายที่มองไม่เห็นด้วยตา

ลองขับ โตโยต้า bZ4X ทั้งเส้นทางในถนน และออฟโรด จุดเด่นคือ ความสามารถในการควบตุม อารมณ์รถที่ไม่แตกต่าง กับช่วงล่างนิ่ง ๆ พวงมาลัย คมๆ
โตโยต้า bZ4X กลับมาอีกครั้งในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ โมเดลปี 2025 พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงการตลาดเพราะครั้งนี้เป็นการทำตลาด แมส (mass) หมายถึงลูกค้าสามารถหาซื้อ และเข้ารับบริการได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 450 แห่ง
การเปลี่ยนแปลงอีกสิ่งหนึ่ง คือ ระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เพราะเมื่อครั้งที่ โตโยต้า นำ bZ4X เข้ามาทำตลาดครั้งแรกปี 2565 แบบจำนวนกัน ด้วยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ราคา 1,836,000 บาท แต่ครั้งนี้ราคาอยู่ที่
- AWD 1,649.000 บาท
- FWD ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ด้วยราคา 1,529,000 บาท
พร้อมกับการปรับเปลี่ยนในส่วนอื่น ๆ เช่น รูปลักษณ์บางส่วน เช่น
การออกแบบด้านใหม่กับแนวคิด Hammerhead เวอร์ชั่นล่าสุด กระจังหน้ามีความเหลี่ยมสันมากขึ้น ปรับเปลี่ยนกรอบไฟใหม่ ติดตั้งไฟสำหรับขับขี่กลางวัน หรือ Daytime Running Light รูปทรงตัว C ที่แยกกับไฟหน้าหลักที่เป็นไปแอลอีดีซึ่งย้ายตำแหน่งใหม่ ล้ออัลลอย 20 นิ้วลายใหม่
ส่วนการพัฒนาตัวรถโดยรวม เพิ่มวัสดุซับเสียง เพื่อลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร เช่น กระจก Acoustic กระจกหน้าต่างคู่หน้า วัสดุโฟมที่โครงตัวถัง, ท่อเก็บเสียงซุ้มล้อในห้องโดยสาร, เพิ่มประสิทธิภาพการซีลของกระจกบานหลัง เป็นต้น
และที่น่าสนใจคือทางเทคนิคที่จะเกี่ยวข้องกับการขับขี่ เช่น การเซ็ตติ้ง มอเตอร์ไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์ พวงมาลัย ช่วงล่างที่ปรับเปลี่ยนพวกจุดยึดใหม่ เป้าหมายคือให้รถมีความกระฉับกระเฉงขึ้นมั่นคงมากขึ้น มีความเสถียรมากขึ้น
อย่างเช่นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เดิมนั้นให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 337 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. 6.9 วินาที
ขณะที่รุ่นปี 2025 ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 343 แรงม้า ส่วนแรงบิด มอเตอร์หน้า 269 นิวตันเมตร มอเตอร์หลัง 170 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. 5.1 วินาที เรียกว่าได้อารมณ์สปอร์ตขึ้นมากทีเดียว
ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ กำลังสูงสุด 224 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. 7.4 วินาที
แบตเตอรี ลิเธียมไอออน ความจุ 73.11 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับการขับขี่สูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 600 กม. ในรุ่น FWD และลดลงเล็กน้อยในรุ่น AWD ที่ 570 กม. (NEDC)
โตโยต้ายืนยันมีการปรับปรุงเรื่องการบริการจัดการพลังงานให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น รวมถึงเรื่องของการออกแบบโครงสร้างทำให้การใช้งานแบตเตอรีนั้นมีความปลอดภัยจากการใช้งานแน่นอน
เอาละครับ การปรับเปลี่ยนปรับปรุงคราวนี้ ทำออกมาได้ดีเพียงใด ต้องไปลองขับครับ
ก็ได้ลองกันพอหอมปากหอมคอทั้ง 2 รุ่น ทั้งทางเรียบรุ่นละ 50-60 กม. และลองออฟโรดเบา ๆ อีกเล็กน้อยพอให้ได้รู้อารมณ์
การขับขี่บนทางเรียบผมขับทั้งในพื้นที่จราจรหนาแน่นในกรุงเทพ จากบางนา-ตราด ขึ้นทางด่วนบางพลี-สุขสวัสดิ์ ที่รถหนาแน่นจริง ๆ ในช่วงเช้าไปออกพระราม 2 ถึงย่านสมุทรสาคร และอีกช่วงก็เป็นช่วงเพชรเกษมย่าน ๆ เขาย้อย
ยอมรับครับว่า bZ4X เซ็ทรถออกมาได้ดี
อย่างแรกเลยคือ การจับอารมณ์จากรถ มันไม่รู้สึกแปลกแยกจากความคุ้นเคยเดิม ๆ คือรถที่ยังใช้เครื่องยนต์ ไม่รู้สึกความเทอะทะ อุ้ยอ้าย เหมือนคนมีไขมันก้อนโต จังหวะการออกตัว การเร่ง การเบรก ทำได้เนียน ๆ
จังหวะออกตัวช่วงแรกของการขับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก หรือล้อปั่นฟรีให้หน้ายากสึกเล่นๆ เมื่อกดคันเร่ง แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ก็ไม่ช้าครับ ไม่ได้ใช้ครับ แต่ดูจากข้อมูล ขณะที่การขับขี่ทั่วไป การปรับเปลี่ยนความเร็วทำได้รวดเร็ว ชะลอความเร็วแล้วออกตัวใหม่ กำลังมาได้รวดเร็วไม่อืดอาดตามรูปแบบของ อีวี
และเมื่อลองขับรุ่น AWD ความกระฉับกระเฉงเพิ่มขึ้นแบบรู้สึกได้ แต่ถ้าไม่อยากจ่ายเงินเพิ่ม รุ่นขับ 2 ก็ตอบสนองได้เพียงพอแล้วครับ
การไล่ความเร็วขึ้นมาอย่างเนื่อง เผลอแวบเดียวไปไกลแล้วครับ
เรื่องของการขับถามว่าผมชอบอะไร ก็มีหลายอย่าง แต่สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกหลังจากเริ่มออกตัวก็คือ พวงมาลัย ที่เซ็ทมาดีมาก น้ำหนักดี ความมั่นคงดี ความแม่นยำก็ดี ่ชวนให้สนุกกับเส้นทาง จะทางตรงหรือทางโค้งก็ตาม
และก็สอดคล้องกับช่วงล่างที่ทำออกมาได้ดีเช่นกัน แน่น เกาะถนนดี ทางตรงนี่สบาย ๆ ทางโค้งขับแบบดึงอารมณ์สปอร์ตได้ นิ่ง ไม่มีอาการหน้าดื้อหรือท้ายดิ้นให้รู้สึกแม้จะอยู่ในช่วงความเร็วสูงก็ตาม การโยนตัวก็น้อย
อารมณ์แบบนี้ไม่เฉพาะคนขับสนุกครับ คนนั่งก็ชอบ
รวมถึงพวกจังหวะรีบาวนด์ต่าง เมื่อขึ้นลงเนิน หรือ คอสะพาน ไม่มีการเด้งหลายต่อ หรือ ยวบยาบ ที่หลายคนเจอกันในอีวีบางรุ่น
สำหรับช่วงล่างของ bZ4X ด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ดับเบิลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง
ยางขนาด 235/50 R20
จริง ๆ แล้วเรื่องของการทรงตัว ยังมีผลมาจากการที่ตัวนี้โตโยต้าเขาพัฒนาระบบ Aerodynamics ให้ดีขึ้น เช่น สปอยเลอร์หลัง การออกแบบล้ออัลลอย ฝาครอบใต้ท้องรถ กระจกมองข้าง เพื่อการไหลเวียนของอากาศที่ดียิ่งขึ้น
เรื่องเบรกก็เป็นอีกจุดเด่น คือ นอกจากเบรกหนักแล้วรถนิ่ง อาการหน้ายุบท้ายยกก็น้อยเช่นเดียวกัน
ส่วนการขับขี่ออฟโรดดิน มีร่องโคลนบ้าง ผ่านก้อนหินบ้าง ก็ผ่านมาได้ไม่ยาก โดยความสูงใต้ท้องรถอยู่ที่ 200 มม. ในรุ่น AWD ส่วน รุ่น FWD สูงขึ้นเล็กน้อย 201 มม.
และก็ได้ลอง X Mode ในรุ่น AWD เมื่อกดโหมดนี้ ระบบก็จะจัดการให้หมดกับรูปแบบการขับ 4 ล้อ รวมถึงพวกจังหวะลงเนินชันที่ระบบจะจัดการคุมความเร็วลงเนินให้ โดยผู้ขับคุมแค่พวงมาลัยอย่างเดียว ยกเท้าออกจากแป้นต่าง ๆ ได้เลย เหมือนกับระบบ HDC หรือ Hill Descent Control นั่นแหละครับ แต่ว่าไม่ต้องไปเลือกแยกย่อย ให้ X mode อันเดียวพอ
ส่วนการขับบนทางดิน ทางฝุ่น ลองใช้ความเร็วดูก็ยังคุมรถได้ง่าย แสดงถึงการกระจายแรงบิดไปยังล้อต่าง ๆ ไ้ด้ดี รวมถึงรุ่นขับ 2 ก็ผ่านไปได้ไม่ยาก
ถ้าจะสรุปสำหรับ bZ4X ผมว่ามันเป็น EV ที่ขับดี ขับสนุก คนที่ชอบขับรถและให้ความสำคัญกับสมรรถนะในการขับขี่ยังไงก็ชอบ แต่ถ้าคนที่ชอบพวกลูกเล่นดิจิทัล หรือ ใช้ราคาเป็นตัวตั้ง ก็ลองพิจารณาเปรียบเทียบเพิ่มเติมกันดู
หรือจะสรุปว่า bZ4X นั้นต้องขายในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ขายที่อารมณ์ หรือ ความรู้สึก ก็ได้ครับ
แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องของฟังก์ชั่นต่าง ๆ ก็มีมาให้พอควร เช่น
คอนโซลกลางแบบ 2 ชั้นออกแบบใหม่เพื่อรองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 2 ตำแหน่ง เพิ่มวัสดุบุนุ่ม (soft touch) จอมอนิเตอร์ใหญ่ขึ้นจาก 12.3 นิ้ว เป็น 14 รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
เบาะไฟฟ้าคู่หน้า จากเดิมมีเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่เ หลังคากระจก พาโนรามิก มูนรูฟ ขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่ง
สวิตช์ควบคุมเกียร์แบบ Shift-by-Wire ระบบเสียงและลำโพง JBL 9 ดอก จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) 7 นิ้ว กระจกมองหลังแบบดิจิทัล (Digital Rear View Mirror) เบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ หรือ Auto Brake Hold
ช่องต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง หน้าต่างไฟฟ้า ระบบ Jam-protection ทั้ง 4 บาน ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์แบบ Kick Activated
เบาะหนังสังเคราะห์ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะผู้ขับขี่บันทึกตำแหน่งเบาะและกระจกมองข้างได้ ส่วนเบาะหลัง แยกพับได้แบบ 60:40 โดยที่พนักพิงปรับเอนได้ 1 ระดับ
พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย ที่วางแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ ระบบปรับอากาศแยกอิสระซ้าย- ขวา พร้อมระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสาร nanoe และระบบกรองฝุ่น PM2.5
แป้นควบคุมแรงหน่วงเบรก (Paddle Shift) เลือกระดับการลดความเร็วได้ 4 ระดับ ถุงลม 8 ตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงถุงลมระหว่างผู้ขับแและผู้โดยสารด้านหน้า และถุงลมป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่
ระบบช่วยจอด ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีกล้องมองรอบคัน (PVM) และเซนเซอร์ Toyota Safety Sense มีฟังก์ชั่นการทำงาน ประกอบด้วย
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ All-Speed
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ภายในช่องทาง
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
- กล้องมองภาพรอบคัน
- ระบบช่วยเตือน พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง
- ระบบช่วยเตือนขณะถอย
- ระบบแจ้งเตือนลมยาง
- สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง ด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
- พร้อมระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
ส่วนโครงสร้างตัวตัวถัง
- ยาว 4,690 มม.
- กว้าง 1,860 มม.
- สูง 1,650 มม
- ความยาวช่วงล้อ 2,850 มม.







