ฟอร์ด “ซูเปอร์ ดิวตี้” หนักเอา เบาสู้ รับไลฟ์สไตล์ เปิดตัว Q1 ปีหน้า

ฟอร์ด ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกอะไรใหม่ ๆ ในตลาดปิกอัพ และล่าสุดขยับตัวอีกครั้ง กับปิกอัพ สมรรถนะสูง รองรับงานหนัก-ไลฟ์สไตล์ "ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้ (Super Duty)
การบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ ของฟอร์ดในตลาดปิกอัพที่ผ่านมา ก็เช่นการติดตั้งระบบเบรกเอบีเอส เข้าไปในรถปิกอัพเป็นครั้งแรก หรือว่าการเปิดตัว แค็บเปิดได้ ที่ช่วงแรก ๆ ถูกแซวว่าเป็นตู้กับข้าว ก่อนที่จะกลายเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมในเวลาต่อมา
หรือการตัดสินใจเปิดตลาดปิกอัพ สมรรถนะสูง และราคาก็สูงตาม อย่าง “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากตลาดที่ดี และสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์
วันนี้ฟอร์ดขยับตัวอีกครั้งกับ “เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้” ปิกอัพสมรรถนะสูงมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล วี 6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร และการออกแบบในส่วนอื่น ๆ ให้รองรับการใช้งานหนักตามชื่อของมัน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการบรรทุกที่รวมกับตัวรถรวม 4,500 กก. หรือการลากจูง 4,500 กก. และหากบรรทุกด้วยลากจูงด้วยรวม 8,000 กก
ความสูงใต้ท้องรถ 29.9 ซม. รองรับการขับขี่ออฟโรดลุยน้ำได้ลึก 85 ซม. โดยฟอร์ดยืนยันว่าไม่ได้ลุยแค่ชั่วครู่ชั่วคราว แต่ลุยยาว ๆ ได้สบาย ส่วนหนึ่งมาจากการจุดยึดสปริงและปีกนกล่างปรับให้ยกสูง
ทั้งนี้ปีกนกของ ซูเปอร์ ดิวตี้ มีความหนามากที่สุดเท่าที่ฟอร์ดเคยใช้ในเรนเจอร์
แต่สำหรับใครที่ใช้งานในเมือง อาจจะต้องเลือกตึกจอดสักหน่อย เพราะความสูง (อย่างไม่เป็นทางการ) น่าจะอยู่ในระดับ 2.1 เมตร
และเพื่อรองรับการขับขี่ออฟโรด ฟอร์ด ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันใต้ท้องรถ ไล่ตั้งแต่ใต้ห้องเครื่องไปใต้ท้องรถ น้ำหนักประมาณ 130 กก.
และเมื่อรวมกับจุดอื่น ๆ เช่น แชสซีส์ที่ใหญ่ขึ้น ชิ้นส่วนอื่นที่ใหญ่ขึ้นทำให้มันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่น้อยแน่ ๆ แต่ตัวเลขทางการต้องรอการอนุมัติจากทาง สมอ. ก่อน
ความแตกต่างของ ซูเปอร์ ดิวตี้ กับ แร็พเตอร์ ก็คือ แร็พเตอร์ เป็น ไฮ สปีด ออฟโรด ส่วน ซูเปอร์ ดิวตี้ ก็จะเป็น ออฟโรดสู้งาน ประเภท หนักเอา เบาสู้
แต่เชื่อเถอะว่าทั้ง 2 รุ่น กลุ่มผู้ซื้อไม่ธรรมดา ต้องรู้จักรายละเอียดต่าง ๆ และรักในอารมณ์ของรถ
แต่ทั้งนี้ ซูเปอร์ ดิวตี้ จะมีตลาดที่กว้างกว่า คือ นอกจากคนที่ต้องการรถสำหรับใช้งานไลฟ์สไตล์แล้วยังมีโอกาสสำหรับตลาดใช้งานเชิงพาณิชย์ ด้วยการต่อถังพิเศษ เช่น รถพยาบาล รถกู้ภัย รถขนส่ง ฯลฯ หรือ กลุ่มไลฟ์สไตล์ด้วยการเอาไปต่อเป็นรถบ้าน ที่ต้องการสมรรถนะของเครื่องยนต์ หรือ การบรรทุก การลากจูง
ดังนั้นการเปิดตลาดของ ซูเปอร์ ดิวตี้ ในช่วงไตรมาสแรกปี 2569 จึงจะมีทั้งรุ่น 4 ประตู และรุ่นหัวเดี่ยวไม่มีกระบะท้าย
ด้วยความที่เป้าหมายคือรองรับการใช้งานหนัก การออกแบบจึงใช้เวลาในการศึกษา หาข้อมูล และพัฒนาไม่น้อย ซึ่งจริง ๆ แล้วจะบอกว่าหัวใจสำคัญของมันเป็นรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้
สิ่งที่ออกแบบใหม่ เช่น แชสซีส์ ที่เป็นคนละตัวกับเรนเจอร์ หนากว่า ใหญ่กว่า แหนบหลังยาวกว่า จุดยึดต่าง ๆ ต่างกันออกไป ช็อค แอบซอร์เบอร์ สปริง ที่ต่างกัน เบรกขนาดใหญ่กว่า
ล้อแบบ 8 รู เพื่อกระจายการรับน้ำหนักและแรงบิดจากเครื่องยนต์ รวมถึงแรงขันที่สูงกว่า มาพร้อมยาง All Terrain ขนาด 33 นิ้ว รวมถึงแทรคหรือความกว้างช่วงล้อที่กว้างขึ้น คือ 1,710 มม.
กันชนหน้า-หลัง เป็นเหล็กหนัก เชื่อมต่อเข้ากับแชสซีส์โดยตรง เป็นต้น
เรียกว่าชิ้นส่วนหรือว่าอะไหล่หลาย ๆ ตัว ซูเปอร์ดิวตี้ กับเรนเจอร์ ใช้ร่วมกันไม่ได้
ถังน้ำมันเพิ่มความจุจาก 80 ลิตร เป็น 130 ลิตร เรียกว่า รองรับการใช้งานได้ทะลุ 1,000 กม. อำนวยความสะดวกในการใช้งานในพื้นที่ทุรกันดาร ไม่มีปั๊มน้ำมัน หรือเข้าป่าเข้าดงได้สบายใจ
ระบบ Integrated Device mounting System (IDMS) ติดตั้งออกมาจากโรงงานโดยตาง เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดตั้งอุปกรณ์ทำงานได้สะดวก ถือเป็นครั้งแรกใน ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน
และจุดที่แตกต่างกันอีกสิ่งหนึ่งคือ เกียร์ 10 สปีด โดยเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่จะแตกต่างจากเรนเจอร์อื่น ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน แต่พื้นฐานจะมีเหมือนกันไม่ว่าจะป็น 2H, 4H, 4L และ 4A
โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ ทั้ง
- โหมดปกติ
- โหมดประหยัด
- โหมดลากจูง
- โหมดถนนลื่น
- โหมดโคลน
- โหมดทราย
- โหมดหิน
เฟืองท้ายแบบใหม่ ซึ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดเท่าที่ฟอร์ดเคยใช้ในตระกูล เรนเจอร์ เช่นเดียวกับเพลาขับทั้งด้านหน้าและหลังที่ออกแบบใหม่ให้แข็งแรงขึ้น
ขณะที่การออกแบบโดยรวมดูดุดัน แมน ๆ ภายในก็ดูดีน่าใช้ ทีนี้ก็เหลือแค่รอลุ้นราคาว่าจะทำออกมาได้น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน







