'จีดับเบิลยูเอ็ม' มองตลาด 'อีวี' หมด EV 3.0 ปี 69 เติบโต ชะลอตัว

'จีดับเบิลยูเอ็ม' มองตลาด 'อีวี' หมด EV 3.0 ปี 69 เติบโต ชะลอตัว

จีดับเบิลยูเอ็ม (GWM) ประเมินหมดโครงกาารสนับสนุนภาครัฐ ฉุดตลาดอีวี ปี 69 ส่วนอาวุธแรง "สงครามราคา" เชื่อไม่มีใครสามารถลากยาว เข้าเนื้อตัวเอง ยันไม่ต้องเร่งผลิตปลายปี

ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) เริ่มเข้าสู่ตลาดแมส (mass) ในปี 2562 และก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในสัดส่วนที่สูง แต่จำนวนคันยังไม่สูงนัก จนกกระทั่งปี 2566 ที่ทะยานจากไม่ถึง 1 หมื่นคันในปี 2565 เป็น 7.6 หมื่นคัน

และนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามราคาในวันนี้ เนื่องจากการไหลบ่าเข้ามาของแบรนด์ต่าง ๆ อย่างไม่ขาดสาย ด้วยความคาดหวังในตลาดที่เติบโตอย่างโดดเด่น

แต่ตลาดเริ่มไม่เป็นตามคาด และไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้ทำตลาด และโมเดลใหม่ ๆ ที่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีความคาดหวังว่าตลาดจะขึ้นไประดับ 1.2-1.3 แสนคัน แต่กลับทำได้แค่ 7 หมื่นคันเท่านั้น 

และแม้ว่าปีนี้ตัวเลขล่าสุดจะมากกว่า 8 หมื่นคัน เติบโตกว่า 50% และคงไม่พลาดที่จะทำตัวเลขได้ทะลุหลักแสนคันเป็นครั้งแรก แต่ก็ถือว่าผิดแผนงานที่วางกันไว้เมื่อสองสามปีพอควร 

และที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งคือ ตลาดที่เติบโต เป็นผลมาจากสงครามราคาด้วยหรือไม่ หากใช่ นั่นก็คงไม่ใช่การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ จีดับเบิลยูเอ็ม (ประเทศไทย) (GWM) แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ไม่มีใครที่ต้องการสงครามราคา แต่ก็เข้าใจว่าแต่ละแบรนด์มีความจำเป็นไม่เท่ากัน และหนึ่งในความจำเป็นนั้นคือ เงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการอีวีระยะเร่งด่วนของภาครัฐ ที่จะต้องผลิตชดเชยการนำเข้า โดย อีวี 3.0 ต้องจบภายในปีนี้ ส่งผลให้เกิดการเร่งผลิต และเร่งการขาย

แต่แนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก โดยผู้ผลิตก็ต้องเดือดร้อนจากผลประกอบการ และเชื่อว่าจะไม่มีใครสามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ตลอด 

แต่ไม่ว่าแนวทางนี้จะลากยาวหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ ทำให้โครงสร้างตลาดได้รับความผลกระทบ และยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 

ซึ่งในส่วนของบริษัทก็ไม่ต้องการลงไปเล่นตรงนั้น ขณะที่บริษัทแม่ ประเทศจีน ก็กำชับไม่ให้เข้าสู่สงครามราคาเช่นกัน แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทก็จำเป็นจะต้องมีอาวุธต่อกรเช่นกัน โดยจะออกมาในรูปแบบของแคมเปญต่าง ๆ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นลูกค้า และแบรนด์ โดยเฉพาะมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในอนาคต

อีกทั้งมองว่าระยะยาว บริษัทไม่มีความจำเป็นเหมือนกับบางแบรนด์ เนื่องจากสามารถบริหารจัดการเงื่อนไขของภาครัฐได้ โดยบริษัทมีภาระต้องผลิตอีวีชดเชยในปีนี้ประมาณ 1.2 หมื่นคัน 

ขณะที่โรงงานระยอง ก็ผลิต โอร่า กู๊ดแคท อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ทำตลาดในประเทศ แต่ยังมีกิจกรรมส่งออกอีวีอีกด้วย ตลาดสำคัญคือ บราซิล ออสเตรเลีย มาเลเซีย 

“เราส่งออกก่อนที่ภาครัฐจะประกาศให้นำการส่งออกมาชดเชยการผลิตได้ 1.5 เท่า่ แต่ก็ได้สิทธิย้อนหลัง นั่นทำให้ภาระการผลิตชดเชยของเราเหลือไม่มาก และไม่จำเป็นต้องเร่งผลักดันการขาย ด้วยข้อเสนอที่รุนแรงอย่างการลดราคา”

โดยก่อนหน้านี้บริษัทเหลือภาระการผลิตชดเชยอีกประมาณ 7,000 คัน แต่เมื่อนำการส่งออก 3,000 คัน มาคำนวณร่วม เท่ากับเหลืออีกไม่มาก

โจว กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาด อีวี ปีนี้ ขยายตัวสูง ซึ่งมาจากทั้งการเร่งผลิต การเร่งซื้อ เพราะจะหมดมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐในอีวี 3.0 ที่จะสนับสนุนเงินคันละ 1.5 แสนบาท 

นั่นทำให้มองว่า ปี 2569 แม้อีวีจะเติบโต เพราะการยอมรับของผู้บริโภคมีมากขึ้น แต่จะโตแค่เล็กน้อย ต่างจากปีนี้ 

ซึ่งไม่เพียงแค่เงื่อนไขข้างต้นเท่านั้นที่ทำให้ตลาดเติบโตน้อย แต่ยังไม่ผลจากปัจจัยอื่น ๆ

เช่น การขยายตัวของสาธารณูปโภคสำหรับ อีวี ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย และอีกสิ่งหนึ่งคือ แบรนด์ อีวี ที่จะเข้ามาไม่มาก เนื่องจากปัจจุบัน แบรนด์หลัก ๆ เข้ามาทำทำตลาดในไทยเกือบหมดแล้วนั่นเอง