‘เอสอาร์เอ’ เตรียมผุดโรงงาน สร้าง ไฮเปอร์ คาร์ อีวี ลุยตลาดโลก

‘เอสอาร์เอ’ เตรียมผุดโรงงาน สร้าง ไฮเปอร์ คาร์ อีวี ลุยตลาดโลก

สยามเรซซิ่ง ออโตโมบิลส์ (SRA) เดินหน้าสร้างแบรนด์ ไฮเปอร์ คาร์ EV ลุยเวทีโลก ปี 7 หลังประเดิมเปิดตัว SRA Hanuman 3 อีวี เรโทร ย้อนตำนานรถแข่งพระองค์เจ้าพีระฯ ปีหน้า

มุมหนึ่งในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2567 บางคนอาจจะไม่ได้สนใจ บางคนสนใจ แต่อาจจะแค่ชั่วครู่แล้วผ่านไป ขณะที่หลายคนดูรายละเอียดอย่างจริงจัง และพินิจพิเคราะห์ เพราะมันชวนให้รำลึกถึงอะไรบางอย่าง

นั่นคือรถต้นแบบฝีมือคนไทย “SRA Hanuman 3” (เอสอาร์เอ หนุมาน 3)ที่ออกแบบย้อนยุค แต่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ของบริษัท สยามเรซซิ่ง ออโตโมบิลส์ จำกัด (เอสอาร์เอ) ที่หนึ่งในผู้บริหารคือ พ.ท.ม.ร.ว.พีรานุพงศ์ ภาณุพันธ์ ทายาทพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่รู้จักกันในนามเจ้าชายนักแข่งและฉายาเจ้าดาราทอง จากผลงานที่ยอดเยี่ยมในฐานะนักแข่งรถ ที่คว้าชัยได้อย่างต่อเนื่องในยุโรป

รวมถึงการคว้าแชมป์แรกในฐานะนักแข่งอาชีพที่ โมนาโก และทรงชนะเลิศรายการกรังด์ปรีซ์อีกหลายครั้ง โดยเฉพาะการชนะ 3 ปีติดต่อกัน ในปีค.ศ. 1936-1938 จนได้รางวัล ดาราทอง หรือ BRDC Road Racing Gold Star

แน่นอน หนุมาน 3 พัฒนาขึ้นมาเพื่อรำลึกและเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ด้วยดีไซน์ รถที่ให้อารมณ์แข่งประจำพระองค์ แต่ไม่ใช่แค่เท่านั้น เพราะหนุมาน 3 มีเป้าหมายผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ในปี 2569 โดยจะผลิตจำนวนจำกัด110 คันสอดคล้องกับการครบรอบ 110 ปี พระองค์พีระฯ

 

SRA Hanuman 3

  • กำลังสูงสุด 577 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุด 525 นิวตันเมตร
  • ความจุแบตเตอรี่ 60 kWh
  • ระยะทางขับขี่สูงสุด 400 กม.
  • น้ำหนักรถ 800 กก.

‘เอสอาร์เอ’ เตรียมผุดโรงงาน สร้าง ไฮเปอร์ คาร์ อีวี ลุยตลาดโลก

ทั้งนี้หนุมานมาน 3 นั้นผ่านมาตรการการเป็นรถสำหรับขับขี่บนท้องถนน หรือ Street legal ผู้ซื้อจึงสามารถขับขี่เดินทางไปไหนมาไหนได้ แต่แน่นอนด้วยลักษณะของรถที่อิงกับอารมณ์เดิมมากที่สุด รวมถึงการไม่มีหลังคา คงเป็นข้อจำกัดหนึ่งในการใช้งาน แต่เชื่อว่าผู้ที่สนใจรถรุ่นนี้น่าจะเก็บเป็นรถสะสม และนำออกมาใช้งานในบางโอกาส และสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย

แต่ทั้งนี้เป้าหมายทางธุรกิจ ในตลาด อีวี ของสยามเรซซิ่ง ออโตโมบิลส์ ไม่ได้หยุดที่ หนุมาน 3 แต่หนุมาน 3 ที่อิงกับตำนานรถแข่งที่ทั่วโลกรู้จักและยอมรับ จะเป็นการสร้างการรับรู้

 แต่เป้าหมายระยะยาวคือ การเปิดตลาดอีวีของไทยในกลุ่มสมรรถนะสูง โดยเฉพาะกลุ่มไฮเปอร์ คาร์ ที่จะเป็นธุรกิจหลักของบริษัท (core business) ในอนาคต ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลายรวมถึงแบรนด์ดังจากเยอรมนี บ๊อช (Bosch) ที่ล่าสุดลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (MoU) เพื่อยกระดับ อีวี ในไทย

รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจกับบิ๊กแบรนด์ระดับโลกซึ่งเป็นระดับตำนานในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าหรูของโลกกว่า 70 แบรนด์

พ.ท.ม.ร.ว.พีรานุพงศ์ กล่าวว่า เอสอาร์เอมุ่งมั่นก้าวข้ามขีดจำกัดของสมรรถนะผ่านนวัตกรรม การร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีที่จะกำหนดอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง และการเปิดตัวรถต้นแบบหนุมาน 3 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการพัมนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของคนไทย และเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลก

‘เอสอาร์เอ’ เตรียมผุดโรงงาน สร้าง ไฮเปอร์ คาร์ อีวี ลุยตลาดโลก

ด้านภาคิน แสงวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าสร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งแต่ผู้ผลิตรายใหญ่ถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และยกระดับทักษะบุคลากรไทย สร้างโอกาสการจ้างงานคุณภาพสูงในสายวิศวกรรม การออกแบบ และการผลิตขั้นก้าวหน้า พร้อมทั้งผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองและสร้างนวัตกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

โดยบริษัทกำหนดแผนเบื้องต้นจะเปิดตัว อีวี2 รุ่น เริ่มจากหนุมาน 3 ปี 2569 เป้าหมายการผลิต 110 คัน ตามด้วย ไฮเปอร์คาร์ ไทย "เอส 110" จำนวน 120 คัน ในปี 2571 ทั้ง 2 รุ่น จะทำตลาดทั้งในประเทศไทย และเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร ยุโรป ตะวันออกกลาง ซึ่งมีฐานลูกค้าไฮเปอร์คาร์จำนวนมาก

โดยไฮเปอร์คาร์ที่จะเปิดตัวรุ่นแรกจะให้กำลังระดับ 2,000 แรงม้าและจากการจำลองในซีมูเลเตอร์ในขณะนี้จะเป็นรถที่ทำลายสถิติของไฮเปอร์คาร์ในปัจจุบัน

“จริง ๆ แล้ว เรายังไม่อยากพูดถึงรุ่นนี้มากนัก เพราะอาจทำให้หลายคนมองว่าดูเลื่อนลอย แต่เราดำเนินการแล้ว รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตร ผู้ผลิตชิ้นส่วน และตลาด แม้กระทั่งรายชื่อลูกค้า ซึ่งตลาดนี้มีจำนวนไม่มากนัก”

เป้าหมายของ เอส 110 จะเทียบกับกลุ่มผู้นำตลาดไฮเปอร์ คาร์ ไม่ว่าจะเป็นบูกัตติ หรือ เคอนิเสก เป็นต้น

ทั้งนี้สำหรับตลาด ไฮเปอร์ คาร์ แต่ละปีอาจจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงโดยปัจจุบันตลาดรถตั้งแต่กลุ่ม ซูเปอร์คาร์ ขึ้นไป มีมูลค่าประมาณ 9หมื่นล้านดอลลาร์และในจำนวนนี้เป็นมูลค่าของ ไฮเปอร์ คาร์ ประมาณ 50%

ส่วนการผลิตจะดำเนินการในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมสร้างโรงงานผลิต ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นรถที่อยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market) และการผลิตเป็นลักษณะแฮนด์เมดเป็นหลัก โดยการลงทุนจะใกล้เคียงกับการลงทุนของโชว์รูมรถยนต์ 1 แห่ง ระดับประมาณ 150-200 ล้านบาท

การผลิตในไทยจะรวมถึงการผลิตตัวถัง ซึ่งในส่วนของหนุมาน 3 ใช้โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียม ส่วน เอส 110 จะใช้คาร์บอนไฟเบอร์ผสมกับอะลูมิเนียม

“เราต้องการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ ยกระดับ อีวี และในอนาคตเทคโนโลยีต่าง ๆ ของเราจะสามารถต่อยอดไปยังผู้ผลิตยานยนต์ หรือกลุ่มเอสเอ็มอีได้”