โตโยต้า 'ยาริส เอทีฟ ไฮบริด' แรงขึ้น ประหยัด ขับสนุก น่าใช้

ได้รับความสนใจไม่น้อยสำหรับ "Toyota Yaris ATIV HEV" หรือ ยาริส เอทีฟ ไฮบริด หลังเปิดตัวไม่นาน ซึ่งโตโยต้ายืนยันว่าพร้อมแข่งขันได้กับทุกพลังงาน วันนี้ไปลองขับกันครับ
โตโยต้า ยาริส เอทีฟ (Toyota Yaris ATIV) เป็นอีโค คาร์ ในรูปแบบซีดาน 4 ประตู ที่เข้ามาเสริมตลาดรุ่นแฮทช์แบ็คเป็นครั้งแรกในปี 2560 ซึ่งได้รับการตอบรับที่โดดเด่นเลยทีเดียว และยาริส เอทีฟ แฮทช์แบ็ค ทำตลาดต่อเนื่องมาจนถึงปี 2565 โดยสามารถสร้างยอดขายสะสมถึงเดือนมิถุนายน 2565 รวม 280,000 คัน
ยาริส เอทีฟ เจเนอเรชัน 2 เข้ารับช่วงต่อ วันที่ 9 สิงหาคม 2565 และเรียกเสียงฮือฮา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เพราะโตโยต้าคว้าตัว “แบมแบม GOT7” มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งทำให้งานเปิดตัวที่ Toyota Alive ถนนเทพรัตน มีวัยรุ่นมารอด้านหน้าและฟุตบาทตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะได้เข้าไปชมมินิคอนเสิร์ต ผ่านจอมิเตอร์ภายใน Toyota Alive
ด้านการตลาด เจเนอเรชัน 2 เปิดตัวด้วยความร้อนแรง กับยอดจอง 21,300 คัน ภายใน 30 วัน หลังเปิดตัว
ยาริส เอทีฟ เจเนอเรชัน 2 สร้างยอดขายได้ 151,000 คัน
และเมื่อถึงันที่ 21 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเปิดตัวทางเลือกพลังงานไฮบริด
โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ไฮบริด หรือชื่อทางการคือ “Toyota YARIS ATIV HEV” มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เปิดตัว 2 รุ่นย่อย คือ
- Toyota Yaris HEV Premium ราคา 729,000 บาท
- Toyota Yaris HEV GR Sport ราคา 779,000 บาท
แต่โตโยต้า มีราคาพิเศษในช่วงเปิดตัวจนถึงสิ้นปี 2568 กับส่วนลดไม่แร่งนัก 10,000 บาท ดังนั้นราคาในวันนี้ คือ
- Toyota Yaris HEV Premium ราคา 719,000 บาท
- Toyota Yaris HEV GR Sport ราคา 769,000 บาท
ยาริส ไฮบริด ก็ต่อยอดมาจากรุ่น 1.2 ลิตร ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหนยังคงทำตลาดต่อไปเช่นเดิม โดยรุ่นไฮบริด ปรับเปลี่ยนนรายละเอียด และปรับเพิ่มออปชั่นบางส่วน
โดย HEV Premium สิ่งที่เปลี่ยนไปจากรุ่น 1.2 ลิตร คือ
กระจังหน้าซึ่งด้านบนเป็นแบบโครเมียมรมดำ ด้านล่างสีเทาเมทัลลิก ล้ออัลลอยออกแบบใหม่ ลายใหม่ ขนาด 16 นิ้ว เบาะนั่งวัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังสังเคราะห์ สีดำ-เทา ปรับเปลี่ยนจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แสดงผลชัดเจน รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และติดตั้งที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายมาให้
ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (TSS) ที่มีอยู่แล้ว เพิ่มฟังก์ชันใหม่ LKC : Lane Keeping หรือระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน จะทำงานคู่กับ Adaptive Cruise Control แบบ All speed
ส่วน HEV GR SPORT ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมจากรุ่น Premium เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและอารมณ์สปอร์ต ประกอบด้วย
กระจังหน้าแบบใหม่ขนาดใหญ่สีดำ พร้อมโลโก้ GR ชุดแต่ง GR-S รอบคัน ประกอบด้วยสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตกันชนหลัง รวมถึงสปอยเลอร์หลัง และหลังคาสีดำ จับคู่กับตัวถัง 3 สีให้เลือก คือ ดำ แดง ขาว
ส่วนรุ่น Premium มีตัวเลือกสีที่มากกว่า คือ สีเงิน สีเทา สีดำ สีขาวมุก สีแดง โดยมีสีภายในคือ รูปแบบเดียวคือ สีดำ-เทา
กระจกมองข้างสีดำ พร้อมไฟเลี้ยว LED ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลายใหม่
เบาะนั่งหนังสังเคราะห์สีดำ พร้อมโลโก้ GR ที่พนักพิงศีรษะ และภายในสีดำเพื่อขับอารมณ์สปอร์ตพวงมาลัยมีโลโก้ GR ปรับจูนพิเศษ มีแรงหน่วงที่เพิ่มขึ้น ความกระชับขององศาการหมุนเพิ่มขึ้น และลำโพง pioneer 6 ตำแหน่ง
ส่วนฟังก์ชันเด่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในรุ่นเดิมเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร เช่น เบรกมือไฟฟ้า ออโต้ เบรก โฮลด์ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ช่องปรับอากาศตอนหลัง ระบบกรองฝุ่น PM 2.5ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร 64 เฉดสี
สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลัง 4 ตำแหน่งกล้องบันทึกภาพด้านหน้าถุงลม 6 ตำแหน่ง และระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE ที่มีฟังก์ชั่นทำงานต่าง ๆ เช่น
ระบบช่วยคุมรถให้อยู่ในเลนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบ all speed ระบบความปลอดภัยก่อนการชนระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยดึงกลับระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดวิธีระบบเตือนรถคันหน้าเคลื่อนตัวระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติกล้องมองภาพรอบคัน
ระบบเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้างระบบช่วยเตือนขณะถอยจอดระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งไฟส่องสว่างหลังจากดับเครื่องยนต์กุญแจรีโมต พร้อมระบบกุญแจนิรภัยและระบบเตือนการโจรกรรม
ทั้งนี้สำหรับการเปิดตัว ไฮบริด โตโยต้ามีคามคาดหวังไม่น้อย เพราะมองว่าเทคโนโลยีไฮบริดเหมาะสมกับตลาดและจะเติบโตได้ดีในอนาคต แม้ว่ากระแสรถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) จะมาแรงก็ตาม และโตโยต้าก็ม่ีแผนทำตลาดเช่นกัน เริ่มจากการเปิดจองสิทธิ์ bZ4X ไปแล้วเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และปลายปีจะมีปิกอัพ อีวี อีก 1 รุ่นก็ตาม
การที่โตโยต้า เชื่อมั่นในไฮบริดว่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะหากดูถึงสัดส่วนตลาดและการเติบโตไฮบริดนั้นยังแข็งแกร่ง และโตโยต้าครองตำแหน่งยอดขายไฮบริดสูงสุด มีรถให้เลือกที่หลากหลาย
Yaris ATIV HEV ทั้ง 2 รุ่นใช้ระบบไฮบริดเหมือนกัน ต่างกันที่ออปชั่นบางอย่าง การตกแต่งภายนอก ส่วนทางด้านเทคนิคที่แตกต่างกันคือ คือ การเซ็ตพวงมาลัย และ ช่วงล่าง
โดยโตโยต้ามั่นใจในศักยภาพการแข่งขันของรถรุ่นนี้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ความพร้อมในการดูแลลูกค้าผ่านเครือข่ายการขายและบริการ 450 แห่ง ความพร้อมด้านอะไหล่ ทิศทางวามนิยมต่อรถไฮบริดทั้งไทย และทั่วโลก
ที่สำคัญอีกสิ่งที่จะเป็นตัวชูโรงในการแข่งขันกับกระแสร้อนแรงของอีวี คือ สิ่งที่ได้จากระบบไฮบริดทั้งด้านสมรรถนะที่ดีกว่ารุ่น 1.2 ลิตร และอัตราสิ้นเปลืองที่โดดเด่น โดยข้อมูลที่โตโยต้าระบุอัตราสิ้นเปลือง ยาริส เอทีฟ ไฮบริด คือ
- 29.4 กม./ลิตรในรุ่น พรีเมียม
- 27.8 กม./ลิตรในรุ่น จีอาร์ สปอร์ต
เป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากอีโค สติกเกอร์
ทั้งนี้เพราะโตโยต้าเห็นว่าอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้นี้มีความโดดเด่น และน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรถที่ให้ทั้งความประหยัดพร้อมกับความสะดวกในการใช้งาน
แต่แน่นอนหากดูเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แน่นอนมันสูงกว่า อีวี แน่นอน แต่มันสูงกว่าไม่มาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้รถในชีวิตประจำวันทั่วไปที่ระยะทางไม่มากนัก ไม่เหมือนรถสาธารณะ ดังนั้นหากคิดออกมาเป็นตัวเงิน ค่าใช้จ่ายต่างกันไม่มากนัก
แต่สิ่งที่จะได้คือ ความสะดวกในการไม่ต้องใช้เวลากับการชาร์จ รวมถึงแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีเงื่อนไขจำกัด เช่น อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ซึ่งไม่สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จส่วนตัวได้
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไม่สะดวกใช้อีวี แต่โตโยต้าก็มองในกลุ่มที่ไม่สะดวกจริง ๆ หรือกลุ่มที่ยังลังเลว่าจะไปทางไหนดี อีวี หรือ ไฮบริด ซึ่งเมื่อมีไฮบริดที่ทำตัวเลขได้ดี ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่อาจมองข้ามได้
เอาละ ทีนี้มาดูกันในการลองขับ ยาริส เอทีฟ ไฮบริด จริงบนเส้นทางจริง ซึ่งผมว่ามันทำได้ไม่เลวครับ
ผมเริ่มต้นการลองขับด้วย จีอาร์ สปอร์ต เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ย่านถนนเทพรัตน มุ่งหน้าเข้ามอเตอร์เวย์ ก่อนตัดออกซ้ายเส้นบ้านบึง-แกลง ระยอง ก่อนเข้าไปยังสนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต และต่อเนื่องไปยังพัทยา
ช่วงแรกผมลองขับแบบใจเย็น ไปเรื่อย ๆ ตั้งเป้าไว้ประมาณ 90 กม./ชม. แต่มีเร็วกว่าบ้าง ช้ากว่าบ้างตามสภาพจราจร เพราะไม่ได้ขับแบบเกร็งเท้ารักษาความเร็วคงที่เหมือนการแข่งประหยัดน้ำมัน เพียงแต่อยากรู้ว่าหากใช้ความเร็วระดับนี้ซึ่งในชีวิตจริงมีไม่น้อยที่หลายคนขับด้วยระดับความเร็วแบบนี้
ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ช้านะครับความเร็วระดับนี้ ทุกวันนี้ผมไปกลับบ้าน-ออฟฟิศ ก็ใช้ความเร็วประมาณนี้ ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ
ครับการขับแบบนี้ แต่มีจังหวะกดคันเร่งก็ต้องกด เบรกก็ต้องเบรก ก่อนเริ่มต้นกับคันเร่งใหม่ ตัวเลขที่ได้เกือบ 27 กม./ลิตร
และเมื่อผ่านไปพักใหญ่ก่อนออกจากมอเตอร์เวย์ ผมกลับมาขับในรูปแบบที่ผมคุ้นเคย ความเร็วต้องมา การปรับเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้งขึ้น เดี๋ยวเบรกเดี๋ยวเร่งสลับกันไป ตามสภาพจราจรที่รถขวางทุกช่องทาง ผ่านไป 128 กม. ตัวเลขอยู่ที่ 23.6 กม./ลิตร
ผมว่าน่าพอใจอยู่นะกับรูปแบบการขับขี่ของผม ตัวเลขที่ได้ถือว่าประหย้ดเลยครับ
ขณะที่รุ่นพรีเมียม ไม่ได้เริ่มต้นแบบไปเรื่อย ๆ แต่ผมหาเส้นทางที่สามารถขับด้วยระดับความเร็วสูง ถ้าถามว่าสูงเท่าไร เอาเป็นว่าตอบได้แค่สูงแหละครับ และเป็นการขับแบบใข้คันเร่งหนัก ๆ บ่อยครั้ง เหมือนกับว่าอยากจะเผาน้ำมันเล่นซะอย่างนั้น
แต่ว่าตัวเลขที่ได้กลับผิดคาดครับ เพราะมันแตะระดับ 20 กม./ลิตร ถือว่าไม่ธรรมดาครับ และจากประสบการณ์การขับรถมาหลายคน ด้วยความเร็วแบบนี้ รูปแบบการขับแบบนี้ ถือว่านี่เป็นตัวเลขที่เด่นทีเดียว
น่าสนใจว่าถ้าขับเรื่อย ๆ ขับแบบ ปกติธรรมดา ตัวเลขน่าจะได้ใกล้เคียงกับที่เคลมไว้
สำหรับการการเดินทางของผมไปกัน 2 คน พร้อมสัมภาระครับ
ด้านสมรรถนะการขับขี่ ระบบไฮบริดตอบสนองได้ดีเลยทีเดียว มีความกระฉับกระเฉง และคล่องตัวกว่า 1.2 อย่างเห็นได้ชัด การเรียกกำลังมาได้เร็ว เปลี่ยนความเร็วได้ไวเร่งแซงได้แบบสบายใจ
และหากมองเส้นทางดี ๆ หาช่องทางว่างบนถนนที่ไร้ระเบียบไว้ล่วงหน้าสามารถไปได้แบบเพิ่มลดความเร็วโดยที่เพิ่มน้ำหนักคันเร่งแบบนุ่มนวล ไม่ต้องกระโชกโฮกฮากแต่อย่างใด
แสดงถึงความสามารถในการเชื่อมต่อสัมพันธ์กันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าก่อนส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT ไปขับเคลื่อนล้อหน้า
ซึ่งจริง ๆ แล้วชุดไฮบริดนี้ยกมาจาก Yaris Cross HEV แต่ปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่ แต่ไม่ได้จูนเพื่อปรับกำลัง แต่จูนให้มันทำงานสดคล้องสัมพันธ์กับมอเตอร์ไฟฟ้าและรถที่เปลี่ยนไป
ทางด้านช่วงล่างเซ็ํทมารองรับการขับขี่ได้ดีทีเีดยว โดยรุ่น พรีเมียม จะมีความนุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะทือนได้ดี นั่งได้สบาย โดยที่ยังสามารถคุมรถได้ดี ถือว่าเซ็ทมาได้ดี
เพราะแม้จะขับขี่ที่ความเร็วสูง แต่รถยังนิ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากรถนิ่งจะช่วยให้การเดินทางไกล ๆ หรือการเดินทางที่ต้องเร่งรีบ ผู้ขับขี่ไม่เหนื่อย จับพวงมาลัยหลวม ๆ ผ่อนคลาย
เสียงรบกวนภายนอกไม่มากนัก จะมีก็เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามบ้าง เมื่อกดคันเร่งหนัก ๆ หรือเมื่อขับขี่ด้วยโหมด พาวเวอร์ แต่ไม่ถึงกับรำคาญอะไร หรือจะเปิดเครื่องเสียงกลบซะก็ได้
พูดถึงเครื่องเสียง รุ่นพรีเมียม ระบบเสียงธรรมดาไปสักนิด แต่ถ้า จีอาร์ สปอร์ต เครื่องเสียงพร้อมลำโพงไพโอเนียร์ 6 ดอก ให้คุณภาพเสียงดีเลย
จากนั้นลองขับ จีอาร์ สปอร์ต ก็ตามชื่อครับ คือต้องสปอร์ต ซึ่งวิศวกรโตโยต้าจัดการปรบเซ็ตช่วงล่างให้มีความสปอร์ตมากขึ้น หรือพูดภาษาบ้าน ๆ คือ มันแข็งขึ้น
แต่การปรับเซ็ตนี้ทำให้เข้าออกโค้งได้สนุก แม่นยำ คมยิงขึ้น การให้ตัวของรถมีน้อย ขณะที่พวงมาลัยก็ปรับเซ็ตให้แตกต่งจากรุ่น พรีเมียม เช่นกัน โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีแรงหน่วงจังหวะขับขี่ในโค้งเพิ่มขึ้น องศาการหมุนสั้นลง ทำให้คุมรถกับเส้นทางแบบนี้และความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้ดี
แต่ผู้โดยสารด้านหลังไม่ชอบนัก (ขับ 1 คน นั่งด้านหลัง 1 คน) เพราะการเซ็ทช่วงล่างให้แข็งขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตทำให้มันกระด้างชัดเจน แต่ไม่แน่ถ้าเดินทางเต็มคัน 4 คน ความกระด้างส่วนนี้อาจลดลงไป
ทั้งนี้ช่วงล่างทั้ง 2 รุ่น นั้นเหมือนกัน ด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชัน บาร์ พร้อมเหล็กกันโคลง เพียงแต่เซ็ตให้ต่างกัน
สำหรับ จีอาร์ สปอร์ต นอกจากขับบนถนน ยังได้นำไปลุยกันในสนามพีระฯ ที่พื้นผิวชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าเป็นรถที่ขับได้สนุกใช้ได้ในแทรคนี้ จังหวะเข้าออกโค้ง พวงมาลัยแม่นยำ ความคล่องตัวกับการเปลี่ยนทิศทางต่อเนื่อง เช่น โค้ง เอส 1 และ เอส 2 ก็ทำได้ดี
บางโค้งกับความเร็วมีอาการท้ายออกบ้าง เช่น โค้งยูเทิร์นลงเขา หรือ โค้งขึ้นเขาที่กว้าง ๆ และเติมความเร็ว แต่ข้อดีคือ แก้อาการไม่ยากอะไรด้วยการใช้พวงมาลัยช่วยเล็กน้อย
โดยรวมชอบครบ แต่ก็มีสิ่งที่ไม่ชอบ คือ ตำแหน่งเบาะคู่หน้าที่สูงไปสักหน่อย แม้จะปรับลงต่ำสุดแล้วก็ตาม เพราะหากลดความสูงลงกว่านี้จะตอบสนองอารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ตได้มากขึ้นครับ ขณะที่ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า เบาะที่สูงทำให้รู้สึกว่ากล้องบันทึกการขับขี่ที่ติดมาแบบบิวท์อิน เป็นออปชั่นในตัว รบกวนสายตาไปบ้าง
แต่โดยรวมแล้ว สำหรับ ยาริส เอทีฟ ขุมพลังไฮบริด เป็นรถที่น่าสนใจกับจุดเด่นเรื่องความประหยัด การควบคุมรถ แลกะการตอบสนองการขับขี่ของระบบไฮบริดครับ







