เริ่มแล้ว บีวายดี ส่งออก Dolphin ตลาดยุโรป รับสิทธิชดเชย อีวี 3.0

เริ่มแล้ว บีวายดี ส่งออก Dolphin ตลาดยุโรป รับสิทธิชดเชย อีวี 3.0

จับตาแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) เดินหน้าส่งออก ขยายตลาด รับสิทธิชดเชยการผลิตมาตรการ อีวี 3.0 บีวายดี ประเดิมล็อตแรก ดอลฟิน 959 คัน

บีวายดี ส่งออก รถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) เป็นครั้งแรกจากฐานการผลิตในประเทศไทย ประเดิมด้วย รุ่น ดอลฟิน (Dolphin) พวงมาลัยซ้าย ล็อตแรกจำนวน 959 คัน ไปยังตลาดยุโรป ประกอบด้วย เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์

ทั้งนี้ บีวายดี แบรนด์ใหญ่จากจีน เข้ามาทำตลาดในไทยเริ่มต้นด้วย BYD ATTO 3 ปี 2565 พร้อมสร้างปรากฏการณ์ลูกค้าแห่จองรถล้นโชว์รูม และบางรายมาจองคิวล่วงหน้า 1 คืน 

จากนั้นเดินหน้าขยายงานต่อเนื่อง ทั้งการขยายสายผลิตภัณฑ์ทั้งEV และลูกผสมอย่าง ปลั๊ก-อิน ไฮบริด รวมถึงด้านการผลิต โดยลงทุนสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม WHA ที่ระยองบนพื้นที่ขนาดใหญ่ 600 ไร่ และเปิดสายการผลิตครั้งแรกวันที่ 4 กรกฎาคม 2567

เบื้องต้นโรงงานมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน/ปี รองรับการจ้างงาน 10,000 ตำแหน่ง โดยปัจจุบันมีประมาณ 6,100 คน 

ทั้งนี้เป้าหมายการลงทุนของ บีวายดี ที่ยื่นขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ (BOI) รวม 9 โครงการ รวมมูลค่าลงทุนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ และระบบส่งกำลัง โดยขณะนี้เป็นการดำเนินการในเฟสแรกของการลงทุน

เป้าหมายแต่เดิมของโรงงานแห่งนี้คือ การเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาเพื่อทำตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาในภูมิภาคอาเซียน 

แต่ล่าสุด บีวายดี ตัดสินใจขยายการผลิต และส่งออก โดยเพิ่มการผลิตรถพวงมาลัยซ้าย 

เริ่มแล้ว บีวายดี ส่งออก Dolphin ตลาดยุโรป รับสิทธิชดเชย อีวี 3.0

การปรับแผนการผลิต และส่งออกของบีวายดี นอกจากเป็นการขยายตลาดแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการเพิ่มจำนวนการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้ารถมาจำหน่ายตามมาตรการส่งเสริมการใช้งานอีวีระยะเร่งด่วน หรือ อีวี 3.0 

มาตรการดังกล่าวให้นำเข้ารถมาจำหน่าย โดยได้สิทธิพิเศษ ทั้งภาษีนำเข้า 0% ภาษีสรรพสามิต 2% จากปกติ  8% และเงินสนับสนุนโดยตรงสูงสุดคันละ 150,000 บาท แต่ก็มีเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการหลายเงื่อนไข

หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ คือ การผลิตรถในประเทศชดเชยการนำเข้ารถภายใต้โครงการในอัตราส่วน 1 เท่าตัว หากผลิตในปี 2567 และ 1.5 เท่าหากผลิตในปี 2568

ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันภาครัฐกังวลว่าผู้ประกอบการบางรายอาจจะผลิตไม่ทัน เนื่องจากโครงการกำลังจะสิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ทำให้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งการกำกับดูแล การคาดโทษ  และแนวทางช่วยเหลือ

ซึ่งแนวทางช่วยเหลือมีทั้งการอนุญาตให้ขยายเวลาโครงการ การทบทวนการใช้สิทธิ และการให้สิทธิในการส่งออกที่สามารถนำมาคำนวณในอัตรา 1.5 เท่าได้ 

ซึ่งเงื่อนไขด้านการส่งออก ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการ เพราะนอกจากเห็นว่าจะสามารถทำให้บรรลุเงื่อนไขผลิตชดเชยได้เร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามราคาที่รุนแรงขึ้น หากทุกค่ายเร่งผลิต แล้วต้องจำหน่ายในประเทศทั้งหมด

ขายมาก ผลิตชดเชยมาก

สำหรับการผลิตชดเชย หนึ่งในแบรนด์ที่มีภาระต้องผลิตจำนวนมาก คือ บีวายดี ที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาด อีวี ในไทย และครองอันดับ 4 ในตลาดรวม รองจาก โตโยต้า อีซูซุ และ ฮอนด้า โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8%

บีวายดี มีจำนวนรถที่ต้องผลิตรถชดเชยการนำเข้าตามมาตรการ อีวี 3.0 ประมาณ 3 หมื่นคัน โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ผลิตไปแล้วบางส่วน และยังเหลืออีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องผลิตให้จบในปีนี้ 

แม้ว่าภาพรวมตลาดอีวีขณะนี้จะเติบโต โดยช่วง 7 เดือนมียอดจดทะบียน 6.6 หมื่นคัน เติบโตกว่า 50% และบีวายดีเองก็มียอดขายที่เติบโตเช่นกัน แต่ปริมาณการขายสะสมที่ต้องผลิตคืนไม่ง่ายนัก 

ดังนั้นบีวายดีจึงเห็นด้วยกับมาตรการส่งออก และปรับแผนจากการกำหนดให้โรงงานไทยเป็นฐานการผลิตพวงมาลัยขวา เป็นการผลิตพวงมาลัยซ้ายเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาด

“การให้สิทธิส่งออกมาคำนวณเป็นการผลิตชดเชย เป็นแนวทางที่ดี เพราะหากส่งออกไม่ได้ รถยนต์ผลิตทั้งหมดก็ต้องมาอัดตลาดในประเทศไทย ทำให้การแข่งขันรุนแรง และยังทำให้โครงสร้างตลาดที่ผิดเพี้ยน” ผู้บริหารบีวายดี ระบุ

นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อภาครัฐ เพราะรถที่ส่งออกรัฐไม่ต้องจ่ายเงินสนับสนุนเหมือนกับการขายในประเทศที่รถผลิตในไทยก็ยังได้สิทธิสูงสุดคันละ 150,000 บาท เช่นเดิม

เริ่มแล้ว บีวายดี ส่งออก Dolphin ตลาดยุโรป รับสิทธิชดเชย อีวี 3.0

จับตาส่งออก อีวี ขยายตัว

สำหรับ การส่งออกอีวีจากฐานการผลิตในไทย คาดว่าจะเริ่มคึกคักมากขึ้นหลังจากนี้ เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะสิ้นสุดโครงการ 

ทั้งนี้การส่งออกอีวีจากฐานการผลิตประเทศไทยครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ระบุว่าการส่งออกอีวีล็อตแรกมีจำนวน 660 คัน  ติดเป็นสัดส่วน 1.43 % ของการส่งออกทั้งหมด 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์