ปลอดภัย ใช้ของมีมาตรฐาน

ปลอดภัย ใช้ของมีมาตรฐาน

คนใช้รถยนต์ชาวไทยมีเรื่องให้ถกเถียงกันมานาน เกี่ยวกับเรื่องของอะไหล่แท้หรือไม่แท้ ที่เรียกกันว่าอะไหล่เทียมหรืออะไหล่ปลอม ด้วยว่ามีคนจำนวนมากจำกัดความของอะไหล่แท้ว่า ต้องมีชื่อยี่ห้อเดียวกันกับยี่ห้อรถยนต์ที่ใช้

โดยชื่อหรือยี่ห้อนั้นจะต้องติดอยู่ที่ตัวอะไหล่และที่บรรจุภัณฑ์ด้วย หากมีชื่อยี่ห้อเป็นอื่น ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นอะไหล่เทียม หรือในยุคหนึ่งบัญญัติคำว่า “อะไหล่เทียบ” มาใช้กับอะไหล่ประเภทที่ว่ามา

คำว่าอะไหล่เทียบ มีความหมายว่าแม้จะไม่ได้มียี่ห้อเดียวกับรถยนต์ แต่ก็สามารถนำมาเทียบเคียงใช้แทนกันได้ ซึ่งยังจำแนกออกไปได้อีกหลายประเภท ประเภทแรกคืออะไหล่ที่ผู้ผลิตเป็นรายเดียวกันกับที่ผลิตป้อนให้โรงงานประกอบรถยนต์ แต่เมื่อต้องแข่งขันด้านราคา จึงจำเป็นที่จะต้องผลิตขึ้นในจำนวนมาก ๆ เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงตามทฤษฎี

อะไหล่ประเภทนี้หากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์เป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง แล้วนำไปเสนอให้ผู้ผลิตรถยนต์นำไปใช้งาน กรณีเช่นนี้โรงงานผู้ผลิตอะไหล่ ก็สามารถผลิตออกมาได้มากเท่าใดก็ได้ แต่ไม่สามารถตีตรายี่ห้อรถยนต์ได้ แต่ส่วนที่ผลิตส่งโรงงานผู้ผลิตรถยนต์จะตีตรายี่ห้อรถยนต์หรือตีตราของผู้ผลิตอะไหล่ ก็แล้วแต่ข้อตกลง ยกตัวอย่างอะไหล่จำพวกนี้เช่น หม้อน้ำ, ระบบปรับอากาศ, น้ำมันเครื่อง, ชุดใบปัดน้ำฝน,ไส้กรองอากาศ, ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ฯลฯ เป็นต้น

กรณีเช่นนี้หากเจ้าของรถยนต์มีความรู้เกี่ยวกับด้านอะไหล่ ก็สามารถซื้ออะไหล่เทียบในลักษณะดังกล่าวมาใช้งานได้ เพราะมักจะตั้งราคาให้ต่ำกว่าแต่มีคุณสมบัติและคุณภาพเหมือนกันทุกประการ 

แต่ยังมีอะไหล่เทียบอีกประเภทหนึ่งที่อาจแพงกว่าอะไหล่ที่ตีตรายี่ห้อผู้ผลิตรถยนต์ คุณสมบัติและประสิทธิภาพดีกว่าอะไหล่ที่ติดมาจากโรงงานรถยนต์ด้วย

เหตุผลเพราะผู้ผลิตรถยนต์อาจจะตั้งมาตรฐานและคุณสมบัติในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ให้มีราคารถยนต์แต่ละคันสูงเกินไป ซึ่งมาตรฐานนั้นถือว่าเหมาะสมกับสภาพการใช้งานปรกติ และอายุของอะไหล่ชิ้นนั้น ๆ ก็เป็นไปตามที่กำหนดเอาไว้ แต่ผู้ผลิตอะไหล่บางรายกลับมองกลุ่มผู้บริโภคต่างออกไป เขาต้องการเจาะเข้าหาผู้ที่ต้องการสมรรถนะที่สูงกว่า และอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าที่ ตัวอย่างของอุปกรณ์และอะไหล่ในกลุ่มนี้เช่น ยางรถยนต์, น้ำมันเครื่อง, ชิ้นส่วนในระบบเบรก, ชิ้นส่วนต่างๆในระบบซึมซับแรงสั่นสะเทือน เช่น ช๊อคแอบซอร์เบอร์ เป็นต้น

ด้วยความที่มีอุปกรณ์และอะไหล่ที่มีมาตรฐานที่ต่างกัน ทางราชการจึงกำหนดค่ามาตรฐานขั้นต่ำของชิ้นส่วนต่าง ๆ  ขึ้นมา หรือพูดให้จำเพาะเจาะจงก็คือ สำนักงานมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม หรือ สมอ. นั่นเอง

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ สมอ.กำหนดมาตรฐานไว้หลายอย่างด้วยกัน เช่น กระจกบังลมหน้า และ กระจกที่ใช้กับรถยนต์ทุกบาน รวมถึงยางรถยนต์ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องผ่านมาตรฐานของสมอ. หรือต้องมีตราสัญลักษณ์ มอก. ด้วยเช่นกัน

ช่วงกลางปี ๒๕๖๘ เราคงเห็นข่าวที่มีหน่วยงานสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เรียกกันว่า “ชุดสุดซอย” ออกตรวจจับโรงงานและสินค้าต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั้น มีข่าวออกมาว่าได้จับกุมยางรถยนต์ ที่ไม่ผ่านการตรวจรับรองจาก สมอ. จำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นยางนำเข้ามาจากจีน และไม่ผ่านมาตรฐานของผู้ผลิต ที่เรียกกันว่ายางตกเกรด แต่เอามาดัดแปลงแต่งเติมหลอกตาผู้บริโภคในไทย ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง

สินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ในระหว่างการกวดขันจับกุม คืออุปกรณ์ที่เรียกกันว่า “ปลั๊กต่อ” ที่คนไทยเรารู้จักและใช้งานกันอย่างแพร่หลาย

รางปลั๊กต่อหรือปลั๊กพ่วงดังกล่าว มักจะมีช่องเสียบหรือปลั๊กตัวเมียจำนวนหลายช่อง เพื่อให้สะดวกต่อการเสียบต่ออุปกรณ์ ซึ่งเมื่อมีการใช้งานกับอุปกรณ์หลายอย่างพร้อมกันเช่นนั้น หากสายไฟของรางหรือปลั๊กพ่วงมีขนาดเล็กเกินไป หรือสายไฟที่ติดตั้งอยู่กับตัวอาคารมีขนาดเล็กเกินไป ก็ไม่สามารถที่จะทนรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าจำนวนมากได้ สายไฟจึงเกิดความร้อนสูง และทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นมาได้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง รางหรือปลั๊กพ่วงจึงเป็นอุปกรณ์ที่ต้องผ่านการตรวจสอบ และได้มาตรฐานตามที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมกำหนด และต้องได้รับตรามาตรฐาน มอก.ทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

อุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า คือ ชุดอัดประจุไฟฟ้าหรือชุดชาร์จไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นชุดชาร์จที่ติดตั้งถาวรหรือวอลล์ชาร์จ หรือจะเป็นชุดชาร์จแบบเคลื่อนย้ายได้หรือพอร์ตเทเบิลชาร์จ ปัจจุบันนี้ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแถมมาพร้อมกับตัวรถ แต่การแถมชุดชาร์จถาวรพร้อมกับค่าติดตั้งนั้น ผู้จำหน่ายรถยนต์จะมีเงื่อนไขประกอบมากมาย เช่นระยะทางจากจุดติดตั้งไปจนถึงต้นทางของสายไฟฟ้าในบ้าน และขนาดของสายไฟฟ้าที่ต่อมายังจุดติดตั้ง ซึ่งโดยปรกติจะต้องมีขนาดของสายไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 4x3 มม.

ทำให้ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหลายราย ไม่ยอมทำการติดตั้งชุดชาร์จถาวร หรือ วอลล์ชาร์จ เพราะต้องมีรายจ่ายส่วนตัวเพิ่มขึ้นจำนวนนับหมื่นบาท แต่จะใช้ชุดชาร์จแบบพกพาหรือพอร์ตเทเบิลชาร์จเจอร์ แล้วเสียบต่อเข้ากับปลั๊กประจำบ้าน ที่มีขนาดของสายไฟเล็กกว่ากำหนด อันอาจจะทำให้เกิดความร้อนและไฟฟ้าลัดวงจรจนไฟไหม้ขึ้นมาได้ หรือบางคนก็ซื้อชุดชาร์จจากช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นชุดชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้งาน ซึ่งจะส่งผลให้ตัวรถยนต์ไฟฟ้าเสียหาย หรือเกิดไฟไหม้ขณะชาร์จรถได้เช่นกัน

ทุกวันนี้จะพบว่าชุดชาร์จที่บริษัทรถยนต์แถมมาให้หลายยี่ห้อ มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณไม่เกิน ๓ ปีก็หมดสภาพ ซึ่งต้องซ่อมหรือเปลี่ยนชุดชาร์จถาวรใหม่อีกหลายหมื่นบาท อันเป็นภาระของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า 

เพราะฉะนั้นผมจึงเรียกร้องให้กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับชุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่างๆ และดำเนินการตรวจสอบให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อความปลอดภัย อย่างเร่งด่วนครับ