วอลโว่ 'EX 30 Cross Country' อีวี ลุยสนุก แรงเหลือ ช่วงล่างแน่น

ปัจจุบัน VolVo EX30 มีราคาจำหน่าย 1.59 ล้านบาท และ 1.79 ล้านบาทในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 1.89 ล้านบาท ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ EX 30 Twin Motor Performance
อย่างไรก็ตาม วอลโว่บอกว่ามีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบรถคอมแพคท์นี้ แต่อยากได้รถที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เป็น weekend explorer

อีกทั้งมองว่าปัจจุบันรถในกลุ่ม บี-เอสยูวี ราคาที่ไม่ถึง 2 ล้านบาท เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมสูง ดังนั้นวอลโว่จึงเพิ่มทางเลือกด้วย “EX30 Cross Country” โดยต่อยอดมาจากรุ่น Performance โดยมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างออกไป

และแน่นอนรวมถึงความสูงใต้ท้องรถหรือ clearance ที่สูงขึ้น 19 มม. มาจากทั้งโครงสร้างช่วงล่าง 12 มม. และอีก 7 มม. จากยางที่ปรับเปลี่ยนขนาดเป็น 235/50 R19 เพื่อให้การใช้งานนอกถนนทำได้คล่องตัวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้วอลโว่ ปรับรายละเอียดบางส่วนเพื่อให้ได้อารมณ์ของ explorer ซึ่งสิ่งใหม่ ๆ ที่ใส่เข้ามา เช่น

กระจังหน้าแบบใหม่ ลายกราฟฟิกเฉพาะตัว ถ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าเป็นภาพแผนที่ภูมิประเทศของเทือกเขา “เค็บเนอไคเซ” (Kebnekaise) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในสวีเดนบ้านเกิดของ วอลโว่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของขั้วโลกเหนือ  พร้อมรายละเอียดตำแหน่งละติจูด ลองติจูดไว้ดวย

การเลือกใช้ลายนี้ วอลโว่ระบุว่าเป็นการเชื่อมโยงความกล้า การบุกตะลุยธรรมชาติ 

ล้อออกแบบใหม่แบบ 5 ก้าน สีเทากราไฟต์แบบด้าน และดำด้าน แผนกันกระแทกหน้าและหลังสีเทา Vapour grey แบบด้าน แผงด้านหลังระหว่างไฟทั้ง 2 ด้าน ตกแต่งด้วยสีดำด้าน ตัดกับโลโก้ VOLVO 

โลโก้ Cross Country ที่กันชนล่างด้านหลังและเสา ซี กันชนหน้าสีดำด้าน ส่วนขยายซุ้มล้อสีดำด้านออกแบบใหม่ และสีเบาะใหม่ สี Pine เป็นสีเขียวโทนอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ เพิ่มระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งคู่หน้าและพวงมาลัย

ด้านเทคนิค นอกจากปรับเพิ่มความสูงแล้วยังปรับจูนช่วงล่างใหม่ ให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น รองรับการใช้งานในเส้นทางออฟโรด ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ซึ่งจากการลองขับจริงถือว่าเซ็ตออกมาได้ดี ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ขณะที่การขับขี่บนทางเรียบก็ไม่สูญเสียอารมณ์สปอร์ต หรือ การยึดเกาะถนน ไป พูดง่ายไม่โยน โม่ยวบ 

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ 

Relax Mode เป็นฟังก์ชั่นที่จะใช้งานเมื่อจอดรถ เมื่อเปิดใช้งาน เบาะผู้ขับจะปรับเอนลง ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารจะลดความสว่างลง ประตูล็อคอัตโนมัติ หน้าต่างถูกปิด

โดยระบบนี้ตั้งเวลาได้จะให้ทำงานนานเท่าไร เมื่อครบกำหนดระบบจะส่งเสียงปลุก แต่ก็มีโหมด snooze มาให้เหมือนกับนาฬิกาปลุก ถ้าอยากจะพักผ่อนต่อ แต่ถ้าพอแล้ว ก็กด end ระบบก็จะปรับเข้าสู่โหมดพร้อมขับขี่

แต่ระบบนี้จะหยุดทำงานเอง ถ้าหากแบตเตอรีเหลือต่ำกว่า 20%

Refresh Mode เป็นการช่วยเร่งทำความเย็นในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มโหมดในส่วนของการขับขี่ คือ 

Creep Mode การเคลื่อนที่อัตโนมัติแบบช้า ๆ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง เหมาะกับบางช่วง เช่น จราจรติดขัด

Rangeโหมดขับขี่เพื่อเพิ่มระยะยะทางการขับขี่ให้ได้มากที่สุด 

One Pedal Drive ที่เลือกได้ 2 ระดับ คือ Low ที่จะมีแรงหน่วงปกติเมื่อผ่อนคันเร่ง และ High ที่เพิ่มแรงหน่วงมากขึ้น 

ด้านแบตเตอรีและสมรรถนะเหมือนกับรุ่น Performance กับแบตเตอรีลิเธียมไอออน NMC ความจุ 69 kWh รองรับการขับขี่สูงสุด 490 กม. (รุ่น Performance 520 กม.)

สมรรถนะ 

• มอเตอร์หน้ากำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร
• มอเตอร์หลัง 272 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตร
• เกียร์ 1 สปีด
• อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.7 วินาที
• ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.
• ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลัง มัลติลิงค์

มาดูเรื่องการขับขี่กันครับ เป็นการลองขับทั้งทางเรียบ และเส้นทางดินทางลูกรัง
ทางเรียบนั้นขับทั้งถนนใหญ่ย่านร่มเกล้า และเส้นทางชานกรุงเทพฯ ถนนเล็ก ๆ แบบ 2 เลนสวนทาง

ซึ่งแน่นอน ทางเล็กชานเมืองนั่นหมายถึงมีรถเยอะ ไม่เหมือนเส้นทางต่างจังหวัด ซึ่งทำให้ต้องใช้การปรับเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้ง และต้องใช้อัตราเร่งบ่อยครั้งในจังหวะเร่งแซง ซึ่งก็ทำให้เห็นจุดเด่นของ EX30 Cross Country ว่ามันทำได้ดี กับการเรียกกำลังมาอย่างรวดเร็วเพราะจังหวะแซงมีไม่มาก เนื่องจากรถเยอะ ทำให้เป็นรถที่มีความคล่องตัวในการใช้งานสูงทีเดียว

อ้อ อีกอย่างวันที่ไปลองนั้นฝนพรำไม่หยุด แต่การบริหารการส่งกำลังแต่ละล้อทำได้ดี เพราะไม่รู้สึกถึงอาการล้อฟรี หรือลื่นไหล แม้หลายช่วงที่เป็นการกดคันเร่งแบบรุนแรง เพราะระยะแซงไม่มาก

ถือว่าการเซ็ตช่วงล่าง การยึดเกาะถนนทำได้น่าพอใจ ส่วนการทำความเร็ว การไล่ความเร็วขึ้นไป ดูจากตัวเลขแรงม้า แรงบิด ก็คงไม่มีปัญหาอะไร สบาย ๆ ครับ

ทีนี้มาดูการขับขี่ในเส้นทางออฟโรดกันบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วผิดแผนไปเล็กน้อย เพราะแต่เดิมจะเป็นการลองขับกับเส้นทาง gravel เป็นทางดิน ทางลูกรัง ลื่น ๆ ซึ่งจะลองหลาย ๆ ด้าน เช่น

• เทียบอัตราเร่งแบบกดคันเร่งเต็มที่บนพื้นลื่นๆ ด้วยโหมดการขับต่างๆ
• การเบรก
• การขับสลาลอม
• ขับขึ้นเนิน ลงเนิน ขับแบบโดนัทรอบกรวย และขับกึ่ง ๆ จิมคาน่า
• การชับงลุยบ่อน้ำสั้นๆ ให้เห็นความสามารถในการใช้งาน

สำหรับโหมดการขับที่ใช้ก็ใช้ครบทั้ง 

• Range ซึ่งจะพยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุด รถจะพยายามขับเคลื่อน 2 ล้อมากที่สุด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามาเป็นบางช่วง
• Standard ก็จะพยายามขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่การขับ 4 ล้อจะมีมากกว่า
• Performance จะใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นหลัก ซึ่งก็เหมาะกับการขับแบบออฟโรด

แต่จริง ๆ แล้วการลองขับครั้งนี้ก็ไปได้ทุกโหมดครับ เพียงแต่ Performance จะขับได้ง่ายกว่า

กลับมาว่ากันถึงเรื่องของเส้นทาง อย่างที่บอกว่าเลือกเส้นทางนอกถนนที่ลื่น ๆ จากการเป็นดิน เป็นลูกรังแต่เรามีแขกมาเยือนก็คือ วิภา ที่หอบเอาเม็ดฝนมาโปรยชุ่มฉ่ำ จนทางลื่นกลายเป็นทางโคลนที่ทำให้ขับไปสักพัก ยางจึงถูกห่อหุ้มจนมองเหมือนกับเป็นยางสลิคไปเสีย เพราะยางที่ใช้ขับเป็นยางติดรถ ไม่ใช่ยาง MUD ไม่แม้กระทั่ง All Terrain

แต่เอาจริง ๆ แล้ว แม้จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติม แต่มันก็ฝ่าฟันไปได้ จังหวะที่ลื่นมาก ๆ จนดูเหมือนว่าจะไม่น่าคุมทิศทางได้ เพราะยางถูกเคลือบด้วยโคลนทั้งวง แต่การควบคุมพวงมาลัย การกระจายแรงไปยังล้อต่าง ๆ อย่างเหมาะสม แปรผันตามการยึดเกาะกับผิวทาง และการลื่นไถล ทำให้สามารถควบคุมรถไปตามเส้นทางได้จนจบ ไม่เลวครับ

แต่สภาพยางหุ้มดินแบบนี้ ถ้าต้องขับเส้นทางปีนไต่เนินชัน ๆ นั่นน่าจะเป็นปัญหา แต่อย่างที่บอกครับว่านี่ไม่ใช่ยางออฟโรด บั้งใหญ่ๆ 

หรือช่วงที่ขับแบบโดนัท วนรอบกรวย กับทางที่ลื่นมาก ๆ และยางไร้ดอกแบบนี้ การผ่อนคันแร่ง การคืนพวงมาลัย ก็ยังสามารถคุมให้รถอยู่ใพื้นที่ได้ ไม่หลุดออกไปไหน

ความลื่นของเส้นทางมากแค่ไหน แสดงออกผ่านช่วงที่เบรกแบบเต็มที่ รถยังไหลไปตามแรงเฉื่อย

ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบ กับการขับภายใต้เงื่อนไขที่ดอกยางไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่กำลังของมอเตอร์ การกระจายกำลังที่เหมาะสม ทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างสนุกครับ

ชวนให้จินตนาการว่า ถ้าใครที่จะเอารถไปลุยนอกถนน ถ้าเปลี่ยนยางเป็น AT หรือ MUD มันน่าจะสนุกแค่ไหนครับ