Mercedes-Benz CLA 250+ EV แรงดี ขับสนุก ช่วงล่างแน่น วิ่งไกล 792 กม.

บุกเดนมาร์ก ลองขับ Mercedes-Benz CLA250+ with EQ Technology ที่เตรียมเปิดตัวในไทยปลายปีนี้ เป็นรถที่น่าสนใจ ทั้งสมรรถนะ ระยะทางวิ่งไกล นั่งสบาย แต่ด้านหลังอาจเล็กไปนิด
เห็นสเปคของรถคันนี้ ว่าชาร์จไฟ 1 ครั้ง สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 792 กม. ตามมาตรฐาน WLTP มันก็ดึงดูดความสนใจได้มากแล้ว เพราะนี่คือระยะทางที่ใช้งานได้ไกล เพิ่มความสะดวกมากขึ้นสำหรับการเดินทางไกล และมันไม่ใช่รถรุ่นใหญ่ที่ราคาน่าจะโดดขึ้นไป
เป็นรถคอมแพคท์ จัดเป็นตัวเริ่มต้นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อีวี ทำให้สามารถคาดหวังราคาได้
อีกทั้งที่ผ่านมา การเคลมระยะทางของค่ายตราดาวค่อนข้างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น อีวี หรือ ปลั๊ก-อิน ไฮบริดก็ตาม ทำได้ใกล้เคียงกับการขับจริง แถมบางรุ่นหลายคนขับแล้วได้ระยะทางที่มากกว่า
เอาละสำหรับคันนี้ แน่นอนว่าเป็นตัวเลขที่ได้จากการทดสอบภายใน แต่โดยทั่วไปการใชังานจริงมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสภาพจราจร หรือ อากาศ ซึ่งทีมวิศวกรเมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่ามันจะได้ตัวเลขระหว่าง 690-792 กม. ซึ่งก็ยังถือเป็นตัวเลขที่สูงอยู่ดี
เอาเป็นว่าถ้ามาขับในเมืองไทย การไปแอ่วเหนือเชียงใหม่อาจไม่ต้องแวะชาร์จที่ไหนเลย
ส่วนถ้าเป็นการใช้เมืองก็แทบจะลืมที่ชาร์จไปเลย
ครับ ผมกำลังพูดถึง "Mercedes-Benz CLA250+ with EQ Technology" รถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รุ่นล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เตรียมจะขึ้นสายประกอบและเปิดตัวในไทยปลายปีนี้ ก่อนจะเริ่มต้นส่งมอบกันปีหน้า
CLA250+ (ขอเรียกสั้น ๆ) ถือเป็นยุคใหม่ของอีวี เมอร์เซเดส-เบนซ์ มาพร้อมแพลทฟอร์มที่เรียกว่า MMA (Mercedes-Benz Modular Architecture) เป็นการกลับมาพัฒนาอีวีควบคู่กับพลังงานอื่น ๆ เช่น ICE หรือ ไฮบริด จากที่ยุคล่าสุดก่อนหน้านี้ กับแพลทฟอร์ม EVA2 เป็นการแยกแพลทฟอร์มจากรถที่ยังใช้เครื่องยนต์
CLA อีวี ปัจจุบันมี 2 ตัวเลือกหลักคือ
- CLA 250+ with EQ Technology มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)
- CLA 350+ with EQ Technology มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD)
ก่อนที่จะไปแตกรุ่นย่อยตามความแตกต่างของออปชั่นต่อไป
สำหรับรุ่นที่จะทำตลาดในไทยคือ CLA 250+ with EQ Technology
ล่าสุดผมมีโอกาสไปลองขับร่วมกับสื่อจากทั่วโลกที่โคเปนฮาเก้น เดนมาร์ก
เดนมาร์กนั้นเป็นหนึ่งในประเทศแถบยุโรปที่มีความนิยมใช้งาน อีวี จำนวนมาก และในบรรดาอีวีที่นี่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50%
เป็นการลองขับในเส้นทางที่หลากหลาย รวมแล้วประมาณ 200 กม. ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางผ่านย่านชุมชน เส้นทางชนบท เส้นทางผ่านท้องทุ่งการเกษตร ปศุสัตว์ ทางป่าเขาคดโค้งที่สวยงาม เลาะเลียบชายทะเลที่อยากจะจอดสูดอากาศ และทางหลวงระหว่างเมือง
อธิบายเส้นทางเพื่อให้เห็นว่ามันมีความหลากหลาย ทั้งทางหลวงฝั่งละ 3 เลน ไปจนถึงทางขนาดเลนกว่า ๆ แบบสวนทาง
ไม่อยากเรียกว่า 2 เลน เพราะเป็นเส้นทางที่ไม่มีเส้นแบ่งเลน ผู้ขับจะต้องคำนวณกันเอง
และเป็นที่รู้กันว่าเส้นทางทุกเส้นทางจะถูกกำกับความเร็วเอาไว้ ตั้งแต่ 30 กม./ชม. ในชุมชน ขยับไปที่ 40, 50, 70, 80 และสูงสุดคือ 110 กม./ชม. และเป็นที่เข้าใจกันดีว่ากฎหมายเขาก็เหมือน ๆ บ้านเรานั่นแหละครับ คือ กำหนดไว้รัดกุม แต่ความเข้มงวดในการบังคับใช้ หรือ ความเคารพต่อกฎหมายของผู้ขับนั้นต่างกันสิ้นเชิง
โดยเฉพาะในเขตชุมชนหรือเขตเมือง ความเร็วต้องอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด แต่หากเป็นนอกเมืองหรือทางหลวงระหว่างเมืองอาจจะดันเกิน ๆ ได้บ้าง สัก 120-130 ก็ยังพอไหว
แน่นอนเส้นทางการลองขับที่ควบคุมความเร็วแบบเข้มงวด ทำให้ยังไม่สามารถรีดสมรรถนะของรถออกมาได้เต็มที่ เช่น ความเร็วสูงจัด ๆ หรือ ท็อปสปีด
แต่เอาเป็นว่าจากความรู้สึกในการขับก็รับรู้อารมณ์ได้ครับ ผมว่ามันเป็นรถที่ไล่ความเร็วขึ้นไประดับสูง ๆ ได้ไม่ยาก รวมถึงท็อปสปีดด้วย เพราะการตอบสนองต่อคันเร่งนั้น ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นมาได้รวดเร็วและต่อเนื่อง โดยที่เท้าค่อย ๆ น้ำหนักลงไปที่คันเร่งแบบนุ่มนวล ไม่ต้องกระโชกโฮกฮากแต่อย่างใด ใช้เวลาครู่เดียวก็ต้องถอนคันเร่งหรือแตะเบรกช่วยด้วยซ้ำไป เพราะความเร็วมันแตะที่ 130 ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่การขับในเส้นทางชนบทเล็ก ๆ หรือ เส้นทางเล็ก ๆ ผ่านป่ามีทางโค้งมากมายให้ได้ลองขับแบบปรับเปลี่ยนความเร็ว มีผ่อนมีเร่งสลับกันไป ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ถึงการตอบสนองของมอเตอร์ที่ทำได้อย่างกระฉับกระเฉง
และแน่นอนเส้นทางแคบ ๆ แบบนี้ก็ทำให้ได้ปลดปล่อยอารมณ์สปอร์ตกันบ้าง เพราะความเร็วกำหนดไว้คือ 80 กม./ชม.
ไม่ช้านะครับกับเส้นทางแบบนี้ ที่ทางตรงยาว ๆ มีน้อยบางช่วงอาจรู้สึกค่อนข้างเร็วด้วยซ้ำ กับทางโค้งแคบ ๆ ลึก ๆ ซึ่งก็มีทั้งแตะเบรกก่อนเข้าบ้าง หรือลองไหลเข้าไปด้วยความเร็วเดิม ๆ บ้าง
สนุกแฮะ มันทำได้ดีเลย ถือเป็นรถที่หน้าคม ล้อหน้าจิกถนนแบบที่เรียกว่าจิกไม่ปล่อย นั่นทำให้แม้ท้ายรถจะมีแรงเหวี่ยงไปฝั่งตรงข้าม แต่รถทั้งคันยังอยู่ในช่องทางที่กำหนด อีกทั้งการโยนตัวของรถก็มีน้อย ก็ช่วยให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น
ยอมรับว่าทำได้ดี เป็นรถที่คอนโทรลได้ง่าย ขับได้สนุกให้อารมณ์สปอร์ต
โดยรวมแล้ว อารมณ์ในการคุมรถมันดูคุ้นเคยเหมือนรถทั่วไป ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของแบตเตอรี หรือความอุ้ยอ้ายของรถ
กลับมาพูดถึงความลื่นไหลในการไล่ความเร็ว CLA 250+ ใช้เกียร์ 2 สปีด โดยเกียร์ 1 จะทำงานถึงความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. หลังจากนั้นเกียร์ 2 จะมารับหน้าที่ต่อไป ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการขับขี่ ลื่นไหล และประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น
แต่ถ้าเลือกโหมด Sport (โหมดขับขี่มี Eco, Normal, Sport) เกียร์ 1 จะลากขึ้นไปให้ที่ 100 กม./ชม.
การชาร์จคืนพลังงานกลับเข้าแบตเตอรี คราวนี้มีมาให้ 4 โหมด จากปกติเราคุ้นเคย 3 ระบบคือ แบบปกติที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการขับรถเครื่องยนต์เมื่อยกเท้าจากคันเร่ง D+ เป็นการปล่อยไหลไร้แรงหน่วง รถไปตามแรงเฉื่อย และ D- ที่จะหน่วงมากชนิดยกเท้าจากคันเร่งแบบทันทีแล้วหัวทิ่มได้
ใน CLA เพิ่มอีกโหมดหนึ่งเข้ามาคือ D Auto ซึ่งแรงหน่วงจะผันแปรตามปัจจัยต่าง ๆ โดยตรงจากสภาพเส้นทางโดยตรงจากกล้อง เรดาร์ รวมถึงข้อมูลจากแผนที่นำทาง
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเมื่อรถกำลังจะถึงโค้งจึงเกิดแรงหน่วงขึ้น หนัก เบา ตามความลึกของโค้ง เป็นต้น แต่ถ้าหากเราประเมินว่าสามารถที่จะไปได้เร็วกว่านั้น ก็สู้กับระบบได้ด้วยการยกคันเร่งแค่พอประมาณ หรือแตะคันเร่งเอาไว้แบบนี้น้ำหนักกดลงไป
มันก็จะคล้าย ๆ กับการขับขี่แบบ one paddle ซึ่งเมื่อชินแล้ว มันช่วยให้ขับได้ง่าย และสนุกครับ
การหน่วงแบบ D Auto ยังตรวจจับรถคันหน้า เช่น ถ้าอยู่ไกลจากคันหน้าแล้วเรายกเท้าออกจากคันเร่ง ก็จะมีแรงหน่วงไม่มากนัก แต่ถ้ายกคันเร่งตอนที่อยู่ใกล้คันหน้า ก็จะหน่วงมากครับ ก็สะดวกดี
ส่วนวิธีการเลือกระดับการชาร์จคืนพลังงาน ใช้การเปลี่ยนที่คันเกียร์ ไปได้เปลี่ยนที่แป้นหลังพวงมาลัยหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ไม่ยากอะไร แค่ดันไปข้างหน้าหรือดึงกลับมาด้านหลังสั้นๆ หรือถ้าจะใช้ D Auto ก็ดันไปข้างหน้าแช่ไว้สัก 2 วินาที
การเพิ่มความสะดวกในการขับขี่อีกสิ่งหนึ่งคือ ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกบังลมหน้า ที่จะให้รายละเอียดต่าง ๆ เอาไว้รวมถึงแผนที่หากเปิดใช้ระบบนำทาง ภาพ แสง ชัดเจน ช่วยให้ขับได้ง่ายขึ้น
ส่วนจอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่หลังพวงมาลัยขนาด 10.25 นิ้ว ให้รายละเอียดคมชัด และปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้หลายแบบ รวมถึงแสดงรายละเอียดด้านหน้าไม่ว่าจะเป็น คน รถ หรือ สิ่งของต่าง ๆ ก็ตาม เปลี่ยนได้ง่ายด้วยแผ่นสัมผัสบนพวงมาลัย ทำให้ไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
จอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่ฝังอยู่ที่คอนโซลหน้าซึงเป็นชิ้นเดียวต่อเนื่องไปยังอีก 2 จอ คือจอกลางและจอฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 14 นิ้ว เท่ากัน
นี่เป็นครั้งแรกของคลาสนี้ที่ฝั่งผู้โดยสารมีจอให้ใช้งาน
แต่สำหรับภาพด้านล่างนี้ที่ลองขับเป็นรถพรี โปรดักชั่น ยังไม่ได้ใส่จอฝั่งผู้โดยสารมาให้ แต่รถที่จะจำหน่ายจริง มีมาให้แน่นอนครับ
ส่วนระบบปฏิบัติการ MB.OS ทำงานได้ฉลาด รวมถึงระบบการนำทางที่คราวนี้ร่วมมือกับกูเกิล ซึ่งเป็นเรื่องดีครับ เพราะปัจจุบันนี้ระบบนำทางที่ติดกับมากับรถหลายรุ่นหลายแบรนด์ เมื่อใช้งานจริงยังมีงง ๆ หลง ๆ กันอยู่บ้าง และยังใช้งานเจมีไนได้ทำให้สามารถหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
ระบบต่าง ๆ เหล่านี้ยังทำงานร่วมกับรถ เช่น การคำนวณระยะทางกับระดับแบตเตอรีที่เหลือ หากเห็นท่าไม่ดีมันก็จะแนะนำให้ชาร์จพร้อมหาที่ชาร์จเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
ทางด้านพื้นที่และการออกแบบภายในห้องโดยสาร เบาะผู้ขับออกแบบกึ่งสปอร์ต นั่งได้สบาย มีปีกโอบกระชับลำตัว ช่วยได้ดีในการขับในเส้นทางที่เต็มไปด้วยโค้ง เพราะลำตัวที่ไม่ลื่นไหลไปมา ทำให้มีสมาธิอยู่กับรถกับเส้นทาง
ขณะที่ทัศวิสัย โดยรวมทำได้ดี เห็นเคลียร์ทุกด้าน แม้ว่ากระจกมองข้างจะดูเล็ก ๆ แต่ไม่เป็นปัญหาปรับมุมปรับองศาให้เห็นสภาพแวดล้อมได้ดี และเมื่อเริ่มชินแล้วก็ยิ่งสบาย
ส่วนเหตุผลที่ทำมาค่อนข้างเล็ก เข้าใจว่านอกจากเรื่องดีไซน์แล้วคงเกี่ยวกับหลักอากาศพลศาสตร์ เพราะ CLA 250+ นั้นมีค่า CD ที่โดดเด่นทีเดียว 0.21 ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบรอบคัน ทั้งกระจกมองข้าง กระจังหน้าลวดลายดวงดาว 142 ดวง แบบปิด และเมื่อเปิดไฟจะแสงสวยงาม
ขณะที่ช่องลมด้านล่างมีลิ้นเปิด-ปิด อัตโนมัติ ตามความต้องการลมระบายความร้อน กันชนหน้า ล้อแบบแอโรลดการต้านลม
มือจับเปิดประตูแบบซ่อนในตัวถัง หรือ seamless โครงสร้างตัวถังลู่ลม กระจกบังลมหน้าแบบลาดเอียง หลังคาด้านท้ายลาดลง แก้มด้านหลัง และดิฟฟิวเซอร์จัดการทิศทางลม รวมถึงแผ่นปิดกันกระแทกใต้ท้องรถ เหล่านี้ล้วนออกแบบมาให้ได้หลักอากาศพลศาสตร์ที่ดี
ซึ่งการขับขี่ไม่ค่อยได้ยินเสียงลมปะทะด้านหน้าหรือกระจกมองข้าง แต่เสียงที่เข้ามาให้ได้ยินบ้าง คือ เสียงจากยาง ซึ่งคันที่ผมลองขับใช้ยางสปอร์ตขนาด 225/45 R18 แต่เสียงที่เข้ามาก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดความรำคาญ หรือถ้าจะเปิดเครื่องเสียงเบอร์เมสเตอร์ซะ ก็จบเรื่องกันไป
เบาะหลังนั่งได้ค่อนข้างดี พื้นที่วางเท้ามีเพียงพอ แต่ว่าไม่สามารถสอดเท้าเข้าใต้เบาะหน้าได้ น่าจะเป็นผลมาจากแบตเตอรี ที่แม้ว่าจะเป็นการออกแบบให้แบตเตอรรี รวมถึงเคสแบตเตอรีเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างตัวรถ แต่ก็ยังมีความสูงขึ้นมามากกว่ารถที่ที่ใช้เครื่องยนต์ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็คงไม่ต้องการยกเบาะให้สูงขึ้น เพราะจะมีผลต่อเฮดรูม รวมถึงจุดศูนย์ถ่วงที่สูงขึ้น
แต่เอาเป็นว่าโดยรวมก็นั่งได้ดี แต่ถ้าเดินทางไกล ๆ แม้ไม่ต้องแวะชาร์จเพราะวิ่งได้ไกล ก็ควรพักเพื่อให้ผู้โดยสารได้ผ่อนคลาย
ที่เบาะหลังถ้าวัดพื้นที่เหนือศีรษะ ห่างหลังคาประมาณ 1 ฝ่ามือ ด้วยการออกแบบรูปทรงหลังคาให้ลาดลง แต่ก็ไม่ได้ทำได้ให้อึดอัดอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะหลังคาที่กระจก หรือ glass roof ซึ่งช่วยให้รู้สึกโปร่งโล่งได้มาก
สำหรับมิติตัวถังของ CLA 250+ with EQ Technology
- ความยาว 4,723 มม.
- ความกว้าง 1,855 มม.
- ความสูง 1,468 มม.
พูดถึงกระจกหลังคา เป็นกระจกบานใหญ่ยาวมาตั้งแต่เสาเอถึงเสาซี โดยไม่มีคานขวางตรงเสาบี นั่นทำให้รถทั้งคันดูโปร่ง และขณะเดียวกันก็หมายถึงว่า โครงสร้างรถ โดยเฉพาะโครงสร้างหลังคาต้องมีความแข็งแกร่งอย่างมากเพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ
ทีนี้ถ้าถามว่าหลังคากระจก เมื่อขับขี่ในบ้านเราที่แดดดีซะเป็นส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไร เมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่ากระจกแบบปรับแสงอัตโนมัตินี้รับมือได้แน่
พูดถึงกระจก ไปดูที่กระจกหน้าต่างกันบ้าง เป็นแบบไร้กรอบ ช่วยให้ดูสปอร์ตมากขึ้น กระจกหลังแบบป้องกันเด็ก คือเมื่อเปิดจะลดลงมาไม่สด แค่เลยครึ่งหนึ่งของพื้นที่หน้าต่างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคนที่เป็นผู้ใหญ่มองว่ามันคาสูงไปหน่อย ถ้าเปิดได้มากกว่านี้ก็น่าจะสะดวกมากขึ้น แต่เอาหละนั่นก็เป็นเงื่อนไขด้านความปลอดภัยของเด็ก ๆ
พูดถึงการเปิด-ปิด กระจก การควบคุมจากตำแหน่งผู้ขับขี่คราวนี้เปลี่ยนรูปแบบ โดยสวิทช์ควบคุมมี 3 ตัว คือ สวิทช์คุมบานซ้าย บานขวา อีกตัวเป็นปุ่มเลือกว่าจะคุมซ้ายหน้า ซ้ายหลัง หรือ ขวาหน้าขวาหลัง จากปกติจะมี 4 ตัว 1 ตัว ต่อ 1 บาน
ระบบปรับอากาศแบบแยกโซน มีช่องแอร์ด้านหลัง รูปแบบกลม และกลางคืนจะมีไฟเรืองแสงรอบ ๆ ที่ชาร์จโทรศัพท์ ไทป์ ซี มีให้มา 5 จุด ไม่ต้องแย่งกัน
ส่วนระบบความปลอดภัยมีครบ และที่เด่นขึ้นมาคือ ถุงลมที่ใส่เข้ามา 11 ตำแหน่ง รวมถึงถุงลมระหว่างผู้ขับกับผู้โดยสารด้านหน้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของคลาสนี้
และเมื่อพูดถึงความเป็นครั้งแรกใน CLA ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคือ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า หรือ FRUNK ซึ่งอันนี้ถือเป็นครั้งแรกใน EV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เลยทีเดยว ซึ่งเจ้า FRUNK นี้ มีความจุใช้ได้เลยทีเดียว 101 ลิตร เสริมกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มีความจุ 405 ลิตร
ทั้งหมดคือรายละเอียดคร่าว ๆ และการลองขับขี่ CLA 250+ with EQ Technology ซึ่งเตรียมจะขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย ที่โรงงานสำโรง และเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ และส่งมอบต้นปี 2569
ส่วนราคาก็รอลุ้นไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงกัน แม้จะมีรูปแบบตัวถังต่างกัน อย่างเช่น BMW iX1 นำเข้าจากจีน อยู่ที่ 2.49 ล้านบาท ราคาอีวีตราดาว ก็น่าจะระดับเกิน 2 ล้านบาท แต่จะเกินเท่าไรเอาไว้ดูกัน
แต่เชื่อว่าด้วยสเปคที่ใส่มาเยอะ ระยะทางใช้งานที่โดดเด่น และการขับขี่ที่ดี ก็ถือว่าเป็น อีวี ที่น่าสนใจทีเดียวครับ
อ่านเรื่องเกี่ยวข้อง https://www.bangkokbiznews.com/auto/1189935







