นิสสัน เซเรน่า ไฮบริด โล่ง กว้าง สบาย ตัวเลือกนักเดินทาง ครอบครัว

นิสสัน เปิดตัว “เซเรน่า” เอ็มพีวี ตัวเก่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกปลายปี 2567 ในรุ่น “ไมล์ด ไฮบริด” ก่อนที่งานบางกอก มอเตอร์โชว์ ปีนี้ จะเสริมด้วยรุ่น อี-พาวเวอร์
นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์ (Nissan Serena E-Power) มีค่าตัว 1.69 ล้านบาท
ขณะที่ผู้มาก่อนรุ่นไฮบริด ราคาอยู่ที่ 1.469 ล้านบาท ต่างกัน 2.21 แสนบาท ทีนี้ใครจะเลือกรุ่นไหน ก็อยู่ที่ความชอบและความพร้อมของของแต่ละท่านครับ กับความต่างของขุมพลัง แต่ถ้าเรื่องของการใช้งาน ก็ไม่ได้แตกตกต่างกันนัก
แต่วันนี้ผมอยู่กับ เซเรน่า ไฮบริด ครับ เป็นการได้ลองขับได้ลองนั่งเป็นครั้งแรก ต้องบอกน่าใช้ไม่น้อยทีเดียว
จุดเด่นอย่างแรกที่ผมชอบ เมื่อสวมบทบาทการเป็นผู้โดยสารเข้าไปนั่งที่เบาะนั่งแถว 2 ก็คือ ความสะดวกสบายในการขึ้นลง
เริ่มจากประตูที่เป็นแบบบานสไลด์ทั้ง 2 ฝั่ง เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ซึ่งนอจากส่งผลดีต่อการจอดในพื้นที่แคบ ๆ เปิดประตูยาก ต้องระแวดระวังไม่กระแทกกำแพงหรือสสะกิดรถคันอื่นแล้ว ยังสะดวกในการใช้งาน เพราะสามารถสั่งเปิด-ปิด ได้จากหลายตำแหน่ง รวมถึงผู้ขับ
เช่น เมื่อต้องจอดรับคนขึ้นรถ เมื่อจอดแล้วก็กดรอได้เลย ทำให้ไม่เสียเวลา หรือ จอดรับผู้สูงอายุ รับลูกหน้าโรงเรียน ร่นเวลา ช่วยลดปัญหาจราจร
และสำหรับผู้ขับเอง ก็มีตัวช่วยเพิ่มความสะดวกด้วยระบบเซ็นเซอร์ใต้บานประตู เมื่อมีกุญแจอยู่กับตัวแค่แหย่เท้าเข้าไปก็สามารถเปิด-ปิด ได้อัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกกรณีที่มือไม่ว่าง ไม่ว่าช่วยยกของขึ้นรถ หรือ เอาของลงจากรถ
เบาะนั่งแถวที่ 2 นั้น เป็นแบบกัปตัน ซีท แยกซ้ายขวา เพิ่มความเป็นส่วนตัว และที่น่าสนใจคือ ตัวเบาะไม่ใหญ่ ไม่หนามาก แต่ออกแบบนั่งได้สบาย มีที่พักแขนแบบพับได้เพิ่มความผ่อนคลาย
บางครั้งแป้งบางกรอบ ก็อร่อยไม่แพ้หนานุ่ม และที่ได้ตามมาก็คือ สอดคล้องกับการออกแบบโดยรวมของนิสสัน เซเรน่า คือความโปร่งโล่ง สบายตา เพราะโครงสร้างเบาะแบบลีน ๆ แบบนี้ ทำให้ห้องโดยสารดูกว้างขึ้น
และก็ยังมีผลทำให้การวอล์คทรูระหว่างเบาะคู่หน้า เบาะคู่กลางที่ทำได้สะดวก และการเข้าออก-เบาะนั่งแถว 3 ก็สามารถเดินผ่านกลางระหว่างเบาะแถว 2 ได้เลย โดยที่ผู้นั่งแถว 2 ไม่ต้องปรับเบาะแต่อย่างใด
ตัวเบาะนั่งแถวที่ 2 นั้นออกแบบให้เลื่อนได้ ทั้งเลื่อนไปซ้าย-ขวา สามารถเลื่อนเบาะทั้ง 2 เบาะมาชิดกันได้ และการเลื่อนหน้า-หลัง ซึ่งเลื่อนได้ระยะพอควร
ซึ่งกรณีที่ไม่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ที่เบาะนั่งแถวที่ 3 การเลื่อนเบาะแถว 2 ไปจนสุดด้านหลัง จะทำให้มีพื้นที่วางเท้าเหลือเฟือ ยืดเหยียดสบาย และยังปรับพนักพิงเอนนอนได้ รองรับการเดินทางไกลสบาย ๆ
ซึ่งเบาะนั่งแถว 2 นี้ นิสสันระบุว่าออกแบบให้เป็น zero gravity เมื่อปรับเอน เพื่อให้ผ่อนคลายในการเดินทางเต็มที่
เซเรน่า ยังมีโต๊ะเล็ก ๆ พับเก็บไว้หลังเบาะคู่เหน้าเอาไว้ให้ใช้งาน พร้อมที่วางแก้วโต๊ะละ 2 ตำแหน่ง แต่ถ้ายังไม่พอวางก็ยังมีที่วางที่แผงประตูสไลด์ให้อีก
พูดถึงการออกแบบที่วางแก้ววางขวด เซเรน่า ออกแบบให้เป็นรถที่รองรับการเดินทาง หรือการเดินทางของครอบครัว เพราะเมื่อนับ ๆ แล้ว เบาะนั่งทั้ง 3 แถว มีรวม 14 จุดครับ
นอกจากนี้ก็ยังออกแบบช่องเก็บของเอนกประสงค์เอาไว้ให้ใช้งานอีกหลายจุด ทั้งบริเวณรอบ ๆ เบาะนั่งแถวหน้า หรือที่ช่องเก็บของใต้คอนโซล
พูดที่ถึงที่เก็บของที่ด้านท้ายรถ หลังเบาะแถว 3 ซึ่งเป็นที่เก็บสัมภาระ นิสสันออกแบบให้พื้นที่ใต้ฝาปิดเป็นหลุมลึกลงไป เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อีกไม่น้อยทีเดียว
ถือว่าการออกแบบภายในเป็นรถที่เหมาะกับผู้โดยสารมากครับ และยังมีอีกสิ่งที่เอื้อต่อการเดินทาง คือ กระจกหน้าต่างที่ออกแบบให้ขนาดใหญ่แบบเห็นได้ชัด นั่นทำให้เมื่อนั่งแล้วผู้โดบสารจะได้ความรู้สึกที่โปร่งโล่ง ไม่อึดอัด และชมวิวทิวทัศน์ได้เต็มตา แม้กระทั่งเมื่อพับเบาะเอนนอน ก็ยังคงชมวิวทิศทัศน์ได้ และหากมีแดดส่อง มีม่านบังแดดที่ติดตั้งมาให้ในตัว
เรื่องของความโปร่งโล่งจากกระจกบานใหญ่นี้ น่าจะเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของการออกแบบเซเรน่า เพราะเมื่อไปนั่งด้านหน้า หรือไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับ จะรู้สึกได้ว่ามันโปร่งโล่งไปหมด
รวมไปถึงกระจกบังลมหน้าที่ใหญ่มาก ทัศนวิสัยนี่เคลียร์สุด ๆ ขับได้ผ่อนคลาย เหมาะกับการเป็นรถท่องเที่ยว รถครอบครัว หรือจะเป็นองค์กร รถผู้บริหารก็ได้เช่นกัน
ไม่แปลกที่ในบ้านเกิดญี่ปุ่นเอง นิสสัน เซเรน่า นอกจากจะเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทั่วไปแล้ว ยังเป็นขวัญใจแม่บ้านที่ต้องขับรถเองอีกด้วย ซึ่งจาการสอบถามหลายคนบอกว่า ความโปร่งโล่งของมันทำให้ขับได้ง่าย ไม่เกร็ง ไม่อึดอัด
ทีนี้มาดูกันที่เบาะนั่งแถวที่ 3 กันบ้างครับ เป็นเบาะที่ออกกให้ผู้ใหญ่นั่งได้ครับ มีความกว้าง และมีพื้นที่ว่างช่วงเข่า พื้นที่วางเท้าที่มากพอ และก็สามารถปรับเอนนอนได้ด้วย
นิสสันนั้นเคลมว่าพื้นที่ห้องโดยสารของ เซเรน่า นั้นใหญ่สุดในคลาส
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของการใช้งานห้องโดยสาร คือ การพับเบาะ การปรับเปลี่ยนรูปแบบได้รวม 13 รูปแบบ เพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการเดินทางของหลายคน หรือการบรรทุกสัมภาระ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่
ส่วนระบบปรับอากาศเป็นแบบ 2 โซน และมีช่องแอร์ทั้ง 3 แถว รวมถึงมีช่องยูเอสบีให้ชาร์จโทรศัพท์ได้ทั้ง 3 แถวเช่นกัน แต่ว่าเป็นช่องแบบไทป์ เอ
จุดเด่นอีกอย่างที่เป็นจุดขายของนิสสัน เซเรน่า คือ ฝาท้ายที่เปิดได้ 2 ระดับ หรือ Dual Backdoor ซึ่งในตลาด เอ็มพีวี หาได้ที่นิสสัน เซเรน่า เท่านั้น
มีประโยชน์ดีครับ เช่น ถ้าจอดในบริเวณที่ด้านหลังว่างไม่มากนัก ก็เปิดฝาท้ายเฉพาะช่วงบนก็พอ
และข้อดีอีกอย่างคือ กรณีที่บรรทุกสัมภาระมาเต็มด้านท้าย การเปิดฝาท้ายแบบรถทั่วไปที่เป็นแบบบานเดียว ก็ต้องระวังว่าจะมีอะไรร่วงหล่นลงมาในจังหวะนั้นหรือไม่ เพราะมองไม่เห็น แต่หากเปิดเฉพาะด้านบนของเซเรน่า ก็ทำให้ค่อยๆ หยิบของด้านบนออกมาก่อนได้
และที่ฝาท้ายก็มีปุ่มล็อกรถเอาไว้ใช้งานหลังขนย้ายสัมภาระเสร็จกก็ไม่ต้องเดินไปล็อคที่ด้านหน้าหรือกดรีโมท
จากเรื่องของการออกแบบ และฟังก์ชั่นต่าง ๆ มาดูกันที่อารมณ์การเดินทางสำหรับผู้โดยสาร และการขับขี่กันครับ
ด้านการเดินทางของผู้โดยสาร อย่างที่บอกว่าผมเริ่มด้วยการนั่งเบาะแถว 2 (เดินทาง 4 คน) นอกจากพื้นที่ ความโปร่งโล่งแล้ว การจัดการของช่วงล่างก็ทำได้น่าพอใจครับ ไม่นุ่มเกินไป มีอาการกระด้างให้ได้รู้สึกบ้าง
แต่ก็ทำให้ตำแหน่งการนั่งบริเวณนี้ค่อนข้างนิ่งทีเดียว เส้นทางราว ๆ 100 กม. จากกรุงเทพฯ ไปพัทยา จังหวะโยนตัว หรือเด้งขึ้นลงไม่มากนัก นั่นทำให้นั่งได้สบายยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ มันไม่ออกอาการมึนหัวเหมือนที่เจอในรถหลายคันที่เน้นความนุ่มนวลมากเป็นพิเศษ
ส่วนการขับขี่ ระบบไฮบริดของนิสสัน เซเรน่า เป็นแบบ ไมล์ด ไฮบริด นั่นหมายถึงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ามีไม่มากนัก ทำหน้าที่เป็นตัวสนับสนุนในบางจังหวะ เช่น การออกตัว หรือ การสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่จากระบบไอเดิล สตาร์ต/สต็อป (idle start/stop) ที่เครื่องจะดับเมื่อรถจอดนิ่งและมีกำลังไฟในแบตเตอรีเพียงพอ
และเมื่อเครื่องยนต์จะทำงานอีกครั้งก็จะไม่ใช้ไดสตาร์ตทำหน้าที่ตรงนี้ แต่ใช้มอเตอร์จากไมล์ดไฮบริดจัดการแทน ซึ่งทั้ง 2 จังหวะก็ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองได้บางส่วน ไม่มากนัก แต่มีผลช่วยลดการสึกหรอ ลดภาระของไดสตาร์ทได้ และยังทำให้การสตาร์ตใหม่จากไอเดิล สตาร์ต/สต็อป นุ่มนวลขึ้น ต่างจากจังหวะการสตาร์ทครั้งแรกด้วยไดสตาร์ท
และก็มีมีผลต่อด้านสมรรถนะบางจังหวะ จากการส่งกำลังเข้าไปเพิ่มแรงบิดในช่วงสั้น ๆ ของการขับขี่
ส่วนตัวเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แบบฉีดตรง ที่ส่งกำลังผ่านเกียร์ X-TRONIC CVT โดยรวมรองรับการใช้งานได้เพียงพอ จังหวะออกตัวไม่ได้โดดเด่น ไม่จี๊ดจ๊าด แต่ไม่อืด
ผมนั้นชอบจังหวะหลังจากนั้น คือเมื่อรถเคลื่อนตัวไปแล้ว การเรียกกำลัง การเพิ่มความเร็วมาได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องรุนแรงกับคันเร่ง แค่เพิ่ม้ำหนักลงไปแบบนุ่มนวลเท่านั้น
จังหวะการปรับเปลี่ยนความเร็ว ชะลอ เบรก เร่ง ทำได้ดี และอย่างที่บอกว่ารถรถชอบความนุ่มนวลกับคันเร่งมากกว่าตามสไตล์ขอเกียร์ ซีวีที การเติมน้ำหนักแบบนุุ่ม ๆ เครื่องยนต์และเกียร์ตอบสนองได้ดีกว่าการกดคันเร่งหนัก ๆ ที่แถมมาด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์
ดังนั้นหากแล้วมองเส้นทางข้างหน้าไกลสักหน่อย ประเมินระยะห่างจากคันหน้าก่อนเร่งแซง ไม่ว่าจะเป็นถนนหลายเลน หรือ 2 เลนสวนทาง แล้วบริหารคันเร่งล่วงหน้า รถจะพุ่งไปข้างหน้าหรือเร่งแซงได้นุ่มนวล แต่ทันใจครับ
ช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่น บีม คอยล์สปริง ทำได้ดีครับ เมื่ออยู่ในตำแหน่งผู้ขับรับรู้ได้ว่ารถคุมได้ไม่ยาก และจังหวะโยนตัวให้ตัวมีไม่มากนักกับรถที่มีตัวถังสูง และความสูงใต้ท้องรถ 160 มม. ดังนั้นจึงขับได้สบาย ๆ ทางตรง ทางโค้ง ค่อนข้างนิ่ง
พวงมาลัยมีความแม่นยำ แต่ถ้าหากเพิ่มน้ำหนักอีกสักหน่อย น่าจะถูกใจหลายคนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ชอบแนวสปอร์ต ๆ
สำหรับออปชั่นของเซเรน่า ไฮบริด ก็ให้มาพอควร รวมถีงด้านความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ เช่น กล้องและเรดาร์ตรวจจับรายละเอียดต่าง ๆ และระบบกล้องรอบคัน ที่จะตรวจยับละป้อนข้อมูลให้กับระบบป้องกันภัย เช่น
- ระบบขบเตือนก่อนการชน
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน
- ระบบเตือนจุดอับสายตา
- การตรวจจับวัตถุขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่
โดยรวมแล้ว ผมว่าเซเรน่า เป็นรถที่ตอบโจทย์ได้ดี เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นใช้งานส่วนตัว องค์กร หรือว่าครอบครัว
เอาเป็นว่าใครสนใจก็ไปลองพาครอบครัวไปลองนั่ง ลองขับ ก่อนที่จะหาฉันทามติก่อนตัดสินใจเลือกมาใช้งานครับ และสำหรับรุ่นไฮบริดนี้ไม่ต้องรอ นิสสันบอกว่ามีรถพร้อมส่งมอบเรียบร้อยครับ