'เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส' มองจุดเด่น ระบบไฮบริด ลงตัวกับ B เซ็กเมนต์

เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส (MG3 Hybrid+) เป็นโกลบอล โมเดล ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริด เจเนอเรชั่นใหม่ และเปลี่ยนรูปโฉม แนวคิดไปจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน
กระแสเรื่องของรักษ์สิ่งแวดล้อม และประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงาน ถูกตอบรับด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) อย่างร้อนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ระยะหลังก็เริ่มเห็นกระแสความนิยมลดความร้อนแรงลงไปไม่น้อย นอกจากการที่ผู้ที่พร้อมเปลี่ยนในทันที หรือ first adopter ซื้ออีวีไปใช้งานแล้ว ยังเป็นผลมาจากการใช้งานที่ยังไม่สะดวกมากนัก โดยเฉพาะจุดชาร์จสาธารณะที่เป็นแบบชาร์จเร็ว หรือ DC Charger
ดังนั้นระยะหลังจึงเห็นว่าแนวโน้มความนิยมส่วนหนึ่งเริ่มกลับไปมองที่รถลูกผสมอย่างไฮบริดมากขึ้น แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจะสูงกว่า แต่ก็แลกมากับความสะดวกในการใช้งานที่มากกว่าเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกล ๆ หรือใช้งานรถมากในแต่ละวัน
ปัจจุบัน เทคโนโลยี ไฮบริด พัฒนาขึ้นมากและมีความหลากหลาย ตามแต่แนวทางของแต่ละแบรนด์ ที่มีทั้งมุ่งไปที่ความประหยัด สมรรถนะ หรือความลื่นไหลในการใช้งาน และพร้อม ๆ กัน ก็มีความพยายามรวมจุดเด่นต่าง ๆ เหล่านี้ให้อยู่ด้วยกันได้มากที่สุด
และสำหรับในตลาดแมส (mass market) เมื่อไม่นานมานี้ก็ต้องบอกว่าความเคลื่อนไหวของ เอ็มจี ได้รับความสนใจในหลาย ๆ ตลาดทั่วโลก กับการเปิดตัว เอ็มจี 3 ไฮบริด พลัส (MG3 HYBRID+)
MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์ไฮบริดเวอร์ชันใหม่ของเอ็มจี และเป็นโกลบอล โมเดล เปิดตัวครั้งแรกในยุโรป ที่งาน เจนีวา อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์ โชว์ ซึ่งเป็นรถที่เอ็มจีระบุว่ามาพร้อมจุดชายสำคัญ คือ ส่วนผสมระหว่างสมรรถนะกับความคุ้มค่าและอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่พัฒนาขึ้น รวมถึงงานดีไซน์ใหม่ทั้งคันจากภายนอกและภายใน ให้มีความโดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า
ทั้งนี้ในยุโรป B แฮทช์แบ็ค ถือเป็นเซกต์เมนต์ที่ได้รับความนิยม จากการเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน
โดย MG3 HYBRID+ นั้นพัฒนาสมรรถนะการขับขี่ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 128 นิวตันเมตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะได้พละกำลังรวมสูงสุดที่ 194 แรงม้า
จุดเด่นสำคัญอย่างหนึ่ง คือ แบตเตอรี ที่ถือว่ามีความจุค่อนข้างในกลุ่มรถไฮบริด คือ 1.83 kWh ทำให้การเก็บพลังงานไฟฟ้าทำได้มากขึ้น สามารถนำออกมาใช้เพื่อให้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเหลือ สนับสนุนการทำงานของเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งที่ได้มาคือ สมรรถนะที่ดีขึ้น และอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น เพราะลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งจากการที่แบตเตอรี สามารถประจุพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากการชาร์จคืนพลังางนของรถ เช่น จังหวะเบรก หรือ ถอนคันเร่งได้มากขึ้น
รวมถึงช่วงจังหวะออกตัว หรือการขับขี่ในสภาพจราจรที่ใช้ความเร็วไม่มาก ที่รถสามารถทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในระดับความเร็วไม่เกินประมาณ 30 กม./ชม. ก็สามารถขับขี่รูปแบบนี้ได้มากขึ้น เพราะความจุของพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
และเมื่อมีพลังานไฟฟ้ามากขึ้น ก็ทำให้เครื่องยนต์่ลดการทำงานลง หรือจังหวะการทำงานก็จะได้ความช่วยเหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้ามากขึ้น
ส่วนรูปแบบการทำงานของระบบไฮบริดในช่วงจังหวะอื่น ๆ เช่น เมื่อความเร็วขึ้นไประดับไม่เกิน 50 กม./ชม. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความเร็วในการขับขี่ช่วงจราจรหนาแน่น ระบบก็ยังเน้นให้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่หากกำลังไฟในแบตเตอรีลดลง เครื่องยนต์จะทำงานแต่เป็นการทำงานพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าป้อนให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือ ซีรีส์ ไฮบริด นั่นเอง ซึ่งจะประโยชน์จากสมรรถที่สูงของมอเตอร์ โดยเฉพาะแรงบิดที่รองรับการขับขี่ที่ความเร็วเปลี่ยนแปลงไปมา ขณะที่เครื่องยนต์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก เพราะไม่ได้ส่งกำลังลงล้อโดยตรง
และเมื่อความเร็วระดับ 50-80 กม./ ชม. เครื่องยนต์ก็ยังคงทำหน้าที่ปั่นไฟป้อนให้กับมอเตอร์ และส่วoที่เหลือก็ส่งไปเก็บไว้ในแบตเตอรี เรียกว่าเป็นซีรีส์ไฮบริดเช่นกันแต่การทำงานเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งไฟฟ้าไปยังแบตเตอรีด้วย
และเมื่อเดินทางด้วยความเร็วคงที่ ระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อโดยตรง เพราะมองว่าประหยัดกว่าการทำงานแบบซีรีส์ ส่วนพลังงานที่เหลือก็จะส่งเข้าไปเก็บในแบตเตอรี
ส่วนจังหวะเร่งแซง จังหวะขึ้นเนินที่ต้องการกำลังมากเป็นพิเศษ จะปรับเข้าสู่การทำงานแบบพาราเลล ไฮบริด โดยทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ร่วมด้วยช่วยกันทำงาน
ซึ่งการใข้งานจริง การขับขี่ในชีวิตประจำวัน ตัวเลข 22-23 กม./ลิตร ไม่ยากที่จะเจอ แต่ก็น่าแปลกใจที่การขับขี่ทางไกล ออกต่างจังหวัด ซึ่งปกติของรถไฮบริด ความโดดเด่นด้านการประหยัดจะลดลงไป แต่สำหรับ MG3 HYBRID+ ถือว่ายังทำได้ดี ตัวเลข 18-19 กม./ลิตร ยังเห็นได้ในแต่ละทริปที่ใช้งานระยะสองสามร้อยกิโลเมตร
และในด้านการขับขี่ นอกจากเกี่ยวข้องกับสมรรถนะแล้ว ยังทำให้การขับขี่ลื่นไหลยิ่งขึ้น จากการเชื่อมต่อหรือสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ขณะที่ด้านไอเสีย ซึ่งถือเป็นอีกเป้าหมายสำคัญของเทคโนโลยีไฮบริด MG3 HYBRID+ มีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำคือ 100 กรัมต่อกิโลเมตร
ทั้งนี้ MG3 HYBRID+ มีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้ง Eco ซึ่งจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่การที่การตอบสนองในการขับขี่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถขับขี่ได้ตามปกติ แน่นอนอัตราเร่งจะถูกจำกัดด้วยระบบเพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอืด หรือเสียจังหวะในการออกตัวหรือเร่งแซงแต่อย่างใด
โหมด Standard เพื่อการขับขี่ทั่วไป ไปไหนก็ได้ ในเมือง นอกเมือง ต่างจังหวัด ทางเข้าทางโค้ง รองรับการใช้งานได้พอ และสนุกได้ แต่ถ้าต้องการเพิ่มความเร้าใจมากขึ้นแน่นอน มีโหมด Sport เอาไว้ให้เลือกใช้
ทั้งนี้เรื่องของสมรรถนะ อารมณ์สปอร์ต MG3 HYBRID+ ก็ทำได้ดีเช่นกันกับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 8 วินาที
เรื่องของสมรรถนะ ไม่มีปัญหาสำหรับรถในกลุ่ม B เซ็กเมนต์ ขับขี่ได้สนุก ความประหยัดน่าพอใจ และที่เด่นอีกอย่างคือ คือช่วงล่างที่เซ็ตมาได้ดีโดยเฉพาะเมื่อขับทางโค้ง หรือ ทางเขา รถจะรีดจุดเด่นชัดเจน เป็นรถที่แม่นกับโค้ง เข้า-ออก ได้เร็ว ทำความเร็วได้ดี ให้อารมณ์สปอร์ต บวกกับการเป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัว สนุก
ทั้งนี้ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชั่น บีม ยางขนาด 195/55 R16 โดยรวมมีความนุ่มนวลระดับกลาง ๆ มีความกระด้างให้รู้สึกได้บ้าง แต่ก็ได้มาในเรื่องของอารมณ์สปอร์ตในการขับขี่
ดิสค์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบมีช่องระบายความร้อน พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ทำงานแม่นยำใช้ได้ น้ำหนักก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
เซ็ทออกมาใช้ได้ครับ การขับขี่ตลอดเส้นทาง รถนิ่ง คุมรถง่ายๆ สบายๆ จังหวะเปลี่ยนช่องทางด้วยความเร็วยังจัดการได้ดี แต่การเซ็ทให้มีความนุ่มรู้สึกได้เพื่อการดูดซับแรงสั่นสะเทือนครับ







