ส่งออกรถยนต์เม.ย. 66 โต 43.53% ส.อ.ท. คงเป้าผลิต 1.95 ล้านคัน

ส่งออกรถยนต์เม.ย. 66 โต 43.53% ส.อ.ท. คงเป้าผลิต 1.95 ล้านคัน

ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์ 4 เดือน ขยายตัว 4.61% ส่งออกฟื้น 18.34% ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 6.11% โดยเฉพาะรถกระบะ สะท้อนกำลังซื้ออ่อนแรงจากปัญหาหนี้เสียและหนี้ครัวเรือน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยว่ายอดการผลิตรถยนต์ เดือนเม.ย. 2566 อยู่ที่ 117,636 คัน ลดลงากเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า 0.13% เนื่องจากมีวันหยุดยาว ทั้งนี้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี ตั้งแต่ม.ค.-เม.ย. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 625,423 คัน เพิ่มขึ้น 4.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์

อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อในประเทศกลับลดลง โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถกระบะที่ลดลงต่อเนื่องทุกเดือน โดย 80% เป็นการซื้อผ่านสินเชื่อเช่าซื้อรถ ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนทำให้สถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อรถยนต์ จากอัตราหนี้เสีย (NPL) ของสินเชื่อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.88% เป็น 1.89% รวมทั้งมีการค้างชำระสินเชื่ออื่นอยู่ก่อนแล้ว 

“เป้าการผลิตรถยนต์ 1.95 ล้านคันในปีนี้ แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน และ จำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน จึงน่ากังวล แต่คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้และมีการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มคงตัวแล้ว”

โดยยอดขายในประเทศ เดือนเม.ย. 2566 อยู่ที่ 59,530 คัน ลดลง 6.14% รวม 4 เดือนแรก คิดเป็นจำนวน 276,603 คันลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.11% 

ขณะที่การส่งออกรถยนต์ในเดือนเม.ย. 2566 อยู่ที่ 79,940 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 43.53% โดยตั้งแต่เดือนม.ค.–เม.ย. 2566 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 353,632 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในระยะเวลาเดียวกัน 18.34% รวมมูลค่าการส่งออก293,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.38%

"เมื่อเทียบกับฐานต่ำในปีที่แล้ว หลังความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ปะทุขึ้น ทำให้เกิดวิกฤติขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ รวมมทั้งเป็นช่วงเวลาที่จีนล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ การส่งออกในเดือนนี้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ"

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาพื้นที่จอดรถยนต์บนเรือขนส่งไม่เพียงพอ และความล่าช้าในการส่งสินค้าลงเรือ สำหรับส่งออกไปออสเตรเลียที่มีความเข้มงวดในเรื่องการนำเข้า จะต้องไม่มีการปนเปื้อนของวัชพืชหรือดอกหญ้า ทำให้ต้องล้างรถ และขนส่งล่าช้าไป 5-7 วัน
 
หวั่นมาตรการ EV ขาดความต่อเนื่อง

สำหรับยอดรถยนต์นั่งไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) จดทะเบียนใหม่เดือนเม.ย. 2566 ยังเติบโตได้ดี อยู่ที่ 3,820 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 882% เนื่องจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าในบางรุ่นมีราคาต่ำกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดย ณ วันที่ 30 เม.ย. 2566 มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) สะสมอยู่ที่ 31,873 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน 467% 

“อย่างไรก็ตาม มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV3) อุดหนุนเงิน 1.5 แสนบาท สำหรับรถอีวีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และลดภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาอีวีเอื้อมถึงได้ทั้งยังต่ำกว่ารถน้ำมัน กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2566 รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า (EV3.5) ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะเกิดการยุบสภาก่อนนั้น หวังว่าจะสามารถนำเข้าครม.ชุดใหม่ได้ภายในปีนี้ เพื่อให้มาตรการมีความต่อเนื่องและสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย รวมทั้งการผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ ที่จะตามเข้ามาสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับประเทศ

สำหรับยอดรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด (HEV) เดือน เม.ย. 2566 จดทะเบียนใหม่ 6,198 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 31.62%  ส่วนยอดจดทะเบียนใหม่สะสม ช่วงม.ค.-เม.ย. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 30,634 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 40.97% ส่งผลให้ ณวันที่ 30 เม.ย.2566 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 290,035 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 32.99%

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เดือน เม.ย.2566 จดทะเบียนใหม่ 784 คัน ลดลงจากปีก่อน 6.33% ส่วนยอดจดทะเบียนใหม่สะสม ช่วงม.ค.-เม.ย. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,172 คันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9.62% ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 เม.ย.2566 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 46,532 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 33.18%