'จีน' ความเสี่ยงใหญ่สุด 'ค่ายรถยุโรป' ส่อฉุดกำไรกว่า 2 แสนล้านต่อปี

'จีน' ความเสี่ยงใหญ่สุด 'ค่ายรถยุโรป' ส่อฉุดกำไรกว่า 2 แสนล้านต่อปี

เปิดเหตุผลที่ "จีน" ขึ้นแท่น "ความเสี่ยงใหญ่ที่สุด" สำหรับบรรดาค่ายรถยุโรป ซึ่งอาจฉุดผลกำไรของบริษัทเหล่านี้วูบกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ภายใน 7 ปีข้างหน้า

อลิอันซ์ เทรด (Allianz Trade) เปิดเผยรายงานเรื่อง “ความท้าทายของจีนต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป” (The Chinese Challenge to the European Automotive Industry) ซึ่งระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตในจีนก่อให้เกิดความเสี่ยงมากที่สุดสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ในยุโรป

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวคาดว่า ตลาดจีน อาจทำให้เหล่าค่ายรถยุโรปสูญเสียผลกำไรมากถึง 7 พันล้านยูโร (ราว 2.6 แสนล้านบาท) ต่อปีภายในปี 2573

\'จีน\' ความเสี่ยงใหญ่สุด \'ค่ายรถยุโรป\' ส่อฉุดกำไรกว่า 2 แสนล้านต่อปี
- ผู้เข้าชมงานมอเตอร์โชว์ในกรุงเทพฯ ยลโฉมรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ยี่ห้อ BYD รุ่น Dolphin EV ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 44 เมื่อวันที่ 23 มี.ค.66 (เครดิต: REUTERS) -

อย่างไรก็ตาม อลิอันซ์ เทรด ชี้ว่า บรรดาผู้ผลิตรถยุโรปอาจเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าวได้ ต่อเมื่อผู้กำหนดนโยบายจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น กำหนดอัตราภาษีตอบโต้กับรถยนต์นำเข้าจากจีน, พัฒนาวัสดุแบตเตอรีและเทคโนโลยี EV ให้มากขึ้น และอนุญาตให้ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป

ปัจจุบันเหล่าผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปเผชิญกับภัยคุกคาม 2 ประการ ดังนี้

1. ยอดขายรถยนต์ของตนเองที่ลดลงในจีนซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในท้องถิ่นมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น

2. ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าของจีนซึ่งผลิตโดยผู้ผลิตของจีนหรือของชาติตะวันตก

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกให้คำมั่นว่า จะกลับมารุกตลาดรถยนต์ในจีนด้วยรถยนต์ EV จำนวนมาก เนื่องจากจีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีแรงกดดันมากขึ้นในการปรับลดราคาลง

อลิอันซ์ เทรด ระบุว่า การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนอาจทำให้สหภาพยุโรป (อียู) ต้องสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจมากกว่า 2.4 หมื่นล้านยูโร (กว่า 8.88 แสนล้านบาท) ในปี 2573 หรือคิดเป็น 0.15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอียู

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวเปิดเผยด้วยว่า บรรดาเศรษฐกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลักอย่างเยอรมนี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็กนั้น อาจได้รับผลกระทบหนักกว่า อยู่ที่ประมาณ 0.3-0.4% ของ GDP

อ้างอิง: Reuters