เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

เอ็มจี ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปลุกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ในไทย ให้ขยายตัวชัดเจน จากการเปิดตัว MG ZS EV ในปี 2562 และหลังจากนั้น เอ็มจีก็เดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งด้านสินค้า เครือข่าย และที่สำคัญคือ สถานีชาร์จที่มีความชัดเจน และแพร่หลายมากที่สุดในขณะนี้

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกขณะ แม้จะยังมีขนาดที่เล็กมาก ถ้าเทียบกับตลาดทั่วไป แต่เติบโตที่ชัดเจน เช่น ปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดรวม 12,785 คัน ซึ่งขยายตัวอย่างโดดเด่นจากปีก่อนหน้าที่มียอดรวมประมาณ 1,400 คัน

การเติบโตของตลาด เป็นผลมาจากหลายประการ ทั้งแนวโน้มทั่วโลก ที่มุ่งไปด้านนี้ ความเข้าใจของผู้บริโภคที่มีต่ออีวีมากขึ้น นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ เช่น

มาตรการส่งเสริมการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระยะเร่งด่วน ที่ทำให้ อีวี ที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ปรับลดราคาลงได้กว่า 2 แสนบาท และอีกปัจจัยสำคัญคือมีสินค้าให้เลือกหลากหลายมากขึ้นในระดับราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น

และเมื่อพูดถึง อีวี ต้องให้เครดิตกับ เอ็มจี (MG) ที่ถือว่าเป็นผู้ยกระดับให้อีวีเป็นตลาดแมส (mass) ก่อนที่จะรถรุ่นอื่นๆ ตามมาจำนวนมาก

เอ็มจี เริ่มต้นทำตลาดอีวี ในปี 2562 กับ แซดเอส อีวี (ZS EV)  ในระดับราคา 1.19 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูก้าจำนวนมาก เพราะเป็นระดับราคาที่ต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในระดับที่รับได้

โดยก่อนหน้านั้นประเทศไทย มี อีวี ทำตลาดอยู่แล้วหลายยี่ห้อ หลายรุ่น แต่ส่วนใหญ่เป็นรถนกลุ่ม พรีเมียมที่มีราคาค่อนข้างสูง

และปัจจุบัน แม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมากมาย และคาดว่าจะมีเพิ่มเติมอีกหลังจากนี้ แต่ผู้บริหารเอ็มจีมองว่าจะเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการสร้างความมั่นใจ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค นำไปสู่การขยายตัวของตลาดอีวีที่ยังมีขนาดเล็ก แต่มีศักยภาพและช่องว่างให้เติบโตอีกมาก

และในด้านการแข่งขัน เอ็มจี ก็เชื่อว่ามีจุดแข็งเพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้า อย่างน้อยการทำตลาดมา 4 ปี ก็ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า อีวี ของเอ็มจี นั้นพร้อมสำหรับการใช้งานในไทย

 

ขณะเดียวกัน เอ็มจี ก็เปิดเกมรุกอย่างต่อเนื่อง โดยเสริมผลิตภัณฑ์เพิ่มทางเลือก โดยปัจจุบันมีรถทำตลาดประกอบด้วย

  • MG ZS EV ที่ชูแนวคิด Truly Easy หรือการเป็น อีวร ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ทั้งการซื้อ หรือการใช้งาน
  • MG EP Plus ที่เอ็มจีระบุว่าเป็นมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
  • MG 4 Electric รถในรูปแบบแฮทช์แบค ให้อารมณ์สปอร์ต โดยเอ็มจีระบุว่านี่คือ นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของอีวี ที่ขับสนุก มีความโดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

และที่สำคัญยังถือเป็นอีวีสายพันธุ์แท้หรือการเกิดมาเป็นอีวีโดยเฉพาะ ไม่ได้ต่อยอดมาจากโมเดลที่มีอยู่แล้ว

โดย MG4 สร้างขึ้นแพลทฟอร์มสำหรับ อีวี โดยเฉพาะ ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เรียกว่า NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM

“เอ็มจีเริ่มต้นสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นรถไฟฟ้าก่อน ถัดมาค่อยออกแบบรูปลักษณ์ของรถครอบตัวแบตเตอรี่ จึงทำให้เกิดความต่างตรงที่จะทราบขนาดและลักษณะของแบตเตอรี่ สามารถดีไซน์โครงว่าจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เราสามารถดีไซน์โครงรถได้อย่างไม่มีข้อจำกัด”

ไม่เพียงเท่านั้น แต่เอ็มจีมองว่า ยังต้องเสริมตลาดเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 นี้จะเปิดตัวรวม 3 รุ่น รุ่นแรกคือ  MG ES

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’  เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

MG ES เป็นการปรับปรุงมาจาก MG EP ซึ่งที่จีนเรียกว่า Major Change คือ ไม่ใช่ New Model แต่ก็มากกว่า Minor Change เพราะเปลี่ยนแปลงเกือบจะทั้งคัน ทั้งภายนอก ภายใน และรายละเอียดทางเทคนิค ทั้งความจุแบตเตอรี หรือ มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง แต่สมรรถนะเพิ่มขึ้น 

 MG ES ออกแบบด้วยแนวคิด “COMFORTABLE" มีออปชั่นหลักๆ เช่น ไฟหน้า ไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟท้าย LED พร้มระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว กระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง  สปอยเลอร์หลัง ชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนัก 75 กก.

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

มีพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุด 1,367 ลิตร พร้อมพื้นที่ช่องเก็บของรอบคัน เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN เส้นสายการตกแต่งภายในโทนสีฟ้า 

เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังพับได้แบบ 60:40 พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง  จอแสดงผลดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

ลำโพง 6 ดอก ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ พร้อมช่องเชื่อมต่อยูเอสบี ไทป์ เอ และไทป์_ซี รองรับการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย ทั้งแอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล ระบบกรองอากาศ PM 2.5

มอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ให้กำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (MG EP 163 แรงม้า 260 นิวตันเมตร) 

ช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION ระบบส่งกำลังใหม่ SAIC E1 THREE - ELECTRIC SYSTEM

แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh พร้อมระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) เลือกได้ 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย

เบรกมือไฟฟ้า  ระบบ Auto Vehicle Hold เบรก  ABS ระบบกระจายแรงเบรก  ระบบเสริมแรงเบรก ระบบควบคุมการทรงตัว  ระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล

ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน 

ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้า และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน 

จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX 2 ถุงลมคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ สัญญาณเตือนระยะถอยหลังระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

และยังรองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) หรือการดึงกระแสไฟฟ้าจากรถไปใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอก ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์

ระบบสั่งการ i-SMART ในรูปแบบ Lite version ระบบค้นหารถ Find My Car ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ ระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ

การมาของ MG ES ทำให้เอ็มจีมีตัวเลือก อีวี มากที่สุดในตลาด นอกจากนี้ยังเป็นรายเดียวที่มีรถในรูปแบบสเตชั่นแวกอนทำตลาด คือ EP และ ES ซึ่งเชื่อว่าจะตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องอีวี ที่มีความสามารถในการใช้งานที่หลากหลาย

และนอกจากการเสริมศักยภาพการแข่งขันด้วยความหลากหลายของสินค้าแล้ว ผู้บริหารเอ็มจี เชื่อว่า อีกสิ่งที่สำคัญ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคคือ ความมั่นใจในการใช้งาน ความสะดวกในการใช้งาน

โดยด้านความมั่นใจ เอ็มจี มองว่าการที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 161 แห่ง และทุกแห่งทำตลาด อีวี ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะสามารถเข้ารับบริการหลังการขายได้สะดวก

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ตำ่กว่าก็จะเป็นแรงดึงดูดสำคัญเช่นกัน โดยเฉลี่ย 1 แสน กม. ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า 8,000 บาท

“เอ็มจีเทรนดีลเลอร์ทั่วประเทศให้มีความรู้มากพอที่จะดูแลและบริการลูกค้าของเรา รวมถึงสามารถสร้างความมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เราคำนึง”

ขณะที่ความสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะการชาร์จ เป็นสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และการขยายตัวในภาพรวมของตลาดอีวี

ซึ่งในปัจจุบัน ภาพรวมของสถานีชาร์จสาธารณะยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณรถ

ดังนั้นเอ็มจี จึงต้องการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ให้กับลูกค้า ซึ่งปัจจุบัน ลูกค้าเอ็มจี จะได้รับ MG Wallbox สำหรับติดตั้งที่บ้านอยู่แล้ว ทำให้มีความสะดวกในการใช้งาน

แต่ถ้าหากต้องเดินทางไกล ไม่ว่าจะเป็นธุระจำเป็น หรือ การเดินทางท่องเที่ยว เอ็มจี ก็ดำเนินการสร้างสถานีชาร์จสาธารณะเอาไว้รองรับ โดยปัจจุบันติดตั้งสถานีชาร์จเร็ว หรือ MG Supercharge Station ที่ตัวแทนจำหน่ายแล้ว 129 แห่ง และตั้งเป้าขยายให้ได้เป็น 160 แห่งในปีนี้ นอกจากนี้ก็ยังติดตั้งในพื้นที่ของพันธมิตรอีก 55 แห่ง

เอ็มจี ยกระดับ Ecosystem เสริมรถใหม่ ขยายจุดชาร์จดันตลาด ‘EV’ 

โดยเป้าหมายของเอ็มจี คือ การติดตั้ง MG Supercharge Station ในเส้นทางหลักทุกๆ 150 กม. ซึ่งจะทำให้เจ้าของรถเอ็มจี อีวี สามารถเดินทางไกลได้สะดวก เพราะแน่ใจว่าจะมีสถานีชาร์จรองรับอย่างแน่นอน

“ที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่ารถยนต์ในตลาดโลกจะมีออปชั่นและฟีเจอร์มากมายที่ไทยยังไม่มี เอ็มจีพยายามจะทำให้เห็นว่ามุ่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผ่านการส่งมอบรถในระดับเดียวกันกับต่างประเทศทั้งยุโรป เอเชีย หรือในทวีปอื่นๆ ทั่วโลก โดยการนำออปชั่นและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้ในตลาดโลกมาพัฒนาในแบรนด์ของเรา เพื่อยกระดับยานยนต์ไทย”