“กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน”รีบรักษาทัน โอกาสรอดสูง

“กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน”รีบรักษาทัน โอกาสรอดสูง

 

“เจ็บหน้าอกแบบฉับพลัน” ระวังอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณกำลังเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

หากคุณกำลังทำกิจกรรมประจำวัน จู่ๆ เกิดเจ็บหน้าอกแน่นหายใจไม่ออก หรือรู้สึกเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกายหรือออกแรงทำกิจกรรมหนักๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนอาจร้าวไปที่ไหล่ ใจสั่น บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ เหงื่อออก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ

หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ในทันทีเพราะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและทำให้กล้ามเนื้อตายบางส่วน อาจอันตรายถึงชีวิตได้

 นพ. ระพินทร์ กุกเรยาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสวนหัวใจและขยายหลอดเลือด โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพบอกเล่าสาเหตุสำคัญของผู้ป่วยที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันดังกล่าวว่าเกิดจากการที่หลอดเลือดตีบตัน ด้วยเพราะมีไขมันเกาะผนังหลอดเลือดสะสมเป็นเวลานาน (Plaque)จนผนังหลอดเลือดตีบแคบลง ซึ่งหากวันใดที่Plaque ดังกล่าวเกิดการปริตัวหรือแตกเป็นแผล ก็จะทำให้เลือดแข็งตัวกลายเป็นลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด จนเลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงหัวใจ กลายเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเสียหายหรือตายบางส่วน

“ถ้าหากเป็นหลอดเลือดที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ส่วนต้นที่ส่งเลือดเลี้ยงในพื้นที่กล้ามเนื้อบริเวณกว้าง ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตกระทันหันอย่างรวดเร็วได้”

ปัจจุบันแม้ผู้ป่วยที่ประสบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งผู้ป่วยก็มีอายุน้อยลง แต่ข่าวดีก็คืออัตราคนไข้ที่เสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันลดลง

โดยจากสถิติกลุ่มผู้ที่เกิดภาวะดังกล่าว พบว่าประมาณร้อยละ 10-15 เสียชีวิตตั้งแต่ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาล ขณะที่ร้อยละ 10เสียชีวิตที่โรงพยาบาล

“กลุ่มที่ได้รับการรักษาเร็วก็จะมีโอกาสรอด ความเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจจะน้อยสามารถกลับไปมีชีวิตเป็นปกติได้ แต่ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจเสียหายมาก แม้จะรอดชีวิต ในระยะยาวผู้ป่วยที่เคยประสบภาวะดังกล่าว ย่อมมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต จากการอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนกำลังจนบีบตัวไม่ไหว ทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพร่างกายเหมือนคนอ่อนแรง เหนื่อยง่ายกลายเป็นผู้ป่วยติดเก้าอี้ ติดเตียง”

ในด้านการรักษา หากมีภาวะหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันวิธีแก้ไขอันดับแรก คือต้องทำให้เลือดกลับมาไหลเวียนโดยเร็วที่สุด ในอดีตแพทย์จะนิยมให้ยาละลายลิ่มเลือด แต่ปัจจุบันยังมีการรักษาโดยใช้สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน ซึ่งเป็นวิธีการที่ประสบความสำเร็จกว่าการรับประทานยา    

แม้ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยมีอาการแสดงที่หลากกลาย แต่กลุ่มผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมกับอาการผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่เรียกว่า ST Elevation MI (STEMI) เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง

เพราะในกระบวนการรักษา ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “ระยะเวลา”โดยกล้ามเนื้อหัวใจจะเริ่มตายเมื่อขาดเลือดประมาณ40 นาที ซึ่งในเวลานี้หากทำให้เลือดกลับมาไหลเวียนสู่หัวใจได้ความเสียหายของหัวใจจะน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยส่วนอีกช่วงเวลาสำคัญที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นGolden Period ของการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ดีที่สุดคือประมาณ 4 ชั่วโมง

ดังนั้นการวินิจฉัยของแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจึงมีความสำคัญ เพราะจะทำให้วินิจฉัยการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงเวลา โอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดได้มาก

“ในปัจจุบัน หากตรวจพบว่าหัวใจขาดเลือดชนิด STEMI แพทย์ต้องพยายามเปิดหลอดเลือดให้ได้ภายใน 90 นาทีเพื่อทำให้กล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ถือว่ามีโอกาสได้คืนอย่างน้อยร้อยละ60-70แต่ถ้าเลยหลังจากเวลานั้นไปแล้วโอกาสจะน้อยลงไปเรื่อยๆ”

ถ้าหลัง 12 ชั่วโมงไปแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับจะเหลือน้อย แต่ก็ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาชีวิตผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

ท้ายสุดนายแพทย์ระพินทร์ยืนยันว่า คนที่รักษาสุขภาพร่างกายตลอดชีวิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทนภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย เมื่อเป็นโรคความรุนแรงของโรคจะลดลง ระยะฟื้นตัวจะสั้นกว่า  

“ทางที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้เกิด สิ่งที่แก้ได้และทำให้ดีขึ้นได้คือการดูแลสุขภาพร่างกาย การปรับพฤติกรรมสุขภาพที่ลดปัจจัยเสี่ยง การออกกำลังกาย ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ ดูแลโรคประจำตัวให้อยู่ในภาวะปกติ อันนี้คือการลดความเสี่ยงของตัวเอง ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักให้ดีที่สุด หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ”นพ.ระพินทร์กล่าว