ผลวิจัยยืนยัน 'สายดื่ม สายควัน' ระวัง! เสี่ยง 'โควิด 19' แรงกว่า ไวกว่าหลายเท่า

งานวิจัยระบุว่า "สายดื่ม สายควัน" มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ "โควิด 19" ได้มากกว่าคนปกติ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพร่เชื้อ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
เป็นที่รู้กันว่า "โควิด 19" ระลอกนี้ พฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มวงจรการระบาดคือ การดื่มในสถานบันเทิงและงานรื่นเริง แถมโควิดสายพันธุ์อังกฤษล่าสุดที่พบยังจู่โจมปอดอย่างรวดเร็ว
รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ในฐานะรองประธานเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมยาสูบ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวยืนยันข้อมูลนี้ว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้ การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้านับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการรับเชื้อและแพร่กระจายเชื้อให้แก่ผู้อื่น โดยมีงานวิจัยระบุว่า ผู้สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 ได้มากกว่าคนปกติ 5-14 เท่า และเมื่อป่วยแล้วมักมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไปที่ไม่สูบเลยอย่างชัดเจน ที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ นักสูบที่สูบจนเกิดโรคเรื้อรังแล้ว เช่น โรคถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง มะเร็งปอด ระบบภูมิคุ้มกันจะมีลดต่ำกว่าคนปกติ ทำให้เชื้อโควิด 19 สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายและเกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
พร้อมกล่าวถึงผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความน่ากังวลมากกว่าผู้ที่สูบบุหรี่มวน เนื่องจากสารประกอบต่างๆ ในบุหรี่ไฟฟ้ามีความเป็นพิษสูงกว่า เช่น นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีโครงสร้างทางเคมีแตกต่างไปจากบุหรี่มวน สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายกว่า มากกว่า และเกิดผลกระทบต่อหลอดเลือดได้มากกว่าแบบเดิม บุหรี่ไฟฟ้ามีปริมาณนิโคตินมากกว่าในบุหรี่มวนถึง 10-100 เท่า
นอกจากนี้ สารระเหยในบุหรี่ไฟฟ้า เช่น โพรไพลีนไกลคอล กลีเซอรีน ที่ใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนักต่างๆ เช่น น้ำยาล้างหม้อน้ำรถยนต์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรม โดยทั่วไป จะไม่ใช้สารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะในปอด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ และเกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงแบบเฉียบพลัน (EVALI) ได้
"บุหรี่ไฟฟ้าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ โควิด 19 ให้แก่คนรอบข้างได้มากกว่าบุหรี่มวน คือ 1.ปริมาณของฝอยละอองที่เกิดขึ้นจากบุหรี่ไฟฟ้า (aerosol) และล่องลอยออกไปในอากาศมีมากกว่าบุหรี่มวน ซึ่งฝอยละอองนี้จะพาเอาเชื้อโควิด 19 ไปพร้อมกันและแพร่กระจายไปด้วยกระแสลมได้เป็นอย่างดี 2.ผู้สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมสูบกันเป็นกลุ่ม พูดคุยกันหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ทำให้แพร่กระจายเชื้อโควิดให้แก่กันได้ง่ายมาก เช่น กรณีคลัสเตอร์การระบาดโควิด 19 ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ 3.ในสถานบันเทิงจะมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า บางคนอาจแชร์บุหรี่ไฟฟ้าระหว่างกันหรือสูบบุหรี่มวนเดียวกัน พฤติกรรมนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เชื้อโควิด 19 แพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย" รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าว
ด้าน รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวเสริมว่า โควิด 19 ที่กำลังระบาดในไทย เป็นเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษ ที่ติดเชื้อง่ายและมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเชื้อจะลงไปที่ปอด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก ขอฝากถึงคนที่สูบบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะมีการอักเสบเรื้อรังในหลอดลมและปอดอยู่แล้วจากพิษของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเอง ทำให้ความสามารถในการขจัดสิ่งแปลกปลอมและฆ่าเชื้อโรคที่เข้าสู่ปอดที่มากับลมหายใจลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสได้ง่ายกว่าคนปกติ
"นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ล้มตาย เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน การพลัดตกหกล้ม การจมน้ำ และยังส่งผลกระทบทางสังคมมากมาย เช่น ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะ และสร้างปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ขณะที่โควิด 19 จึงอยากย้ำให้ทุกคน หยุดดื่ม หยุดเชื้อ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์และประเทศไทย ให้มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยที่จำเป็นได้มากขึ้น" รุ่งอรุณ กล่าว
โดยยังให้ข้อมูลต่อว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพร่เชื้อ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโควิด 19 มากกว่าคนที่ไม่ดื่มแล้ว
ที่สำคัญเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย สร้างภาระทางสุขภาพในระบบบริการสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ จากการศึกษาผลการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ โควิด 19 พบปัญหาที่เกิดขึ้นจากฤทธิ์น้ำเมา 4 ปัจจัย ได้แก่
1. ข้อมูลวิชาการจำนวนมากชี้ชัดว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย และการทารุณกรรมเด็ก
2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวเร่งและเสริมความรุนแรงในชีวิตคู่
3. การดื่มที่มาจากความเครียดจะส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้กระทบกับหน้าที่การงานและปัญหาการเงิน
4. นโยบายปิดเมืองหลายประเทศทั่วโลก พบว่า การดื่มที่บ้านทำให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานได้น้อยลง









