ปลุกกระแสวัยทำงานยุคใหม่ใส่ใจฟัน ตั้งเป้า 'สร้างก่อนซ่อม' ช่องปากดี

ปลุกกระแสวัยทำงานยุคใหม่ใส่ใจฟัน ตั้งเป้า 'สร้างก่อนซ่อม' ช่องปากดี

ปัญหาสุขภาพช่องปากกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญของคนทุกกลุ่มวัย และด้วยช่องปากคือปราการด่านแรกของการบ่งชี้สุขภาพในระยะยาว เพราะทุกอย่างที่เรานำใส่เข้าไปในร่างกาย ต้องผ่านทางช่องปากเสมอ ไม่ต่างกับคำเปรียบเปรยที่ว่า “You Are What You Eat”

ถ้าพูดถึงปัญหาเรื่องช่องปาก คนส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่เผชิญปัญหาช่องปากมากที่สุด ทว่าจากการสำรวจที่ผ่านมาปรากฏว่า คนวัยทำงานอย่างเราๆ เองก็มีปัญหาสุขภาพช่องปากถึงกว่าร้อยละ 91 เลยทีเดียว

กลุ่มวัยทำงานจึงยังเป็นช่องว่างในการทำงานด้านทันตสาธารณสุข เนื่องจากโดยทั่วไปนโยบายการส่งเสริมต่าง ยังลงมาไม่ถึงคนกลุ่มนี้ นำมาสู่ปฏิบัติการใหม่ของกลุ่มดรีมทีมทันตแพทย์ใจอาสา ที่ยินดีจะแบ่งเวลาออกมาปั้นภารกิจสร้างเสริมสุขภาพช่องปากกลุ่มวัยทำงานขึ้นครั้งแรกในไทย ภายใต้โครงการการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากกลุ่มวัยทำงาน โครงการที่ขับเคลื่อนโดย มูลนิธิทันตสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย และภาคีเครือข่าย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

อุดช่องว่างปัญหาฟัน ต้องเริ่มที่วัยทำงาน

จริง วัยทำงานที่ประเทศไทยมีกว่า 43 ล้านคน ก็มีปัญหาเยอะมากทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รักษาการทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) เผยถึงข้อเท็จจริง

จากข้อมูลการสำรวจปัญหาในช่องปากที่สำคัญที่พบในกลุ่มวัยทำงาน พบว่า เป็นวัยที่พบโรคฟันผุร้อยละ 91.8 เป็นฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษา ร้อยละ 43.3 และเริ่มมีการผุบริเวณซอกฟัน มีหินน้ำลายและ/หรือเลือดออกร้อยละ 75.5 มีร่องลึกปริทันต์ตั้งแต่ 4 มม. ขึ้นไปถึงร้อยละ 25.9

นอกจากนี้ ยังพบสภาวะในช่องปากที่สัมพันธ์กับความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) รวมทั้งรอยโรคในช่องปากที่อาจกลายเป็นมะเร็งช่องปากและเป็นสาเหตุการตายได้ จึงต้องให้ความสำคัญกับคนทำงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร่วมด้วย

การทำงานช่วงแรก เราฟรีสไตล์ เปิดให้กับพื้นที่ที่มีความสนใจ เพราะมองว่างานเขาประจำเขาหนักอยู่แล้ว แต่บางพื้นที่เขามองว่าเป็นประเด็นท้าทายจึงอาสามาร่วมกับเรา ในกลุ่มสถานประกอบการ เราเลือกพื้นที่ที่มีโรงงานเยอะอยู่แล้ว ส่วนกลุ่มสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเราเลือกเกลี่ยภาคละ 2-3"

161879931322

แต่เรารู้อยู่แล้วว่า เรื่องช่องปากไม่ใช่เรื่องสำคัญที่คนจะสนใจ การดำเนินการช่วงแรก อย่างในสถานประกอบการ เราจึงใช้กลไกความร่วมมือกับโครงการ สถานบริการปลอดโรค ปลอดภัย ใจเป็นสุข ของกรมควบคุมโรค หรือการนำเอากิจกรรมขูดหินปูนเจาะเข้าไป ส่วนกลุ่มสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเราเริ่มต้นที่ตัว อสม. เลย เพราะเขาก็เป็นตัวแทนวัยทำงานเหมือนกัน แล้วขยับมาเป็นกลุ่มผู้ป่วย NCDs บ้าง ผู้นำศาสนา ไปถึงแม่วัยทำงาน จนถึงในเรือนจำ คือเรามองว่าจริง คนทำงานเป็นใครก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เขาต้องขับเคลื่อนให้คนเหล่านี้มี Self care (สามารถดูแลตัวเองได้) และ Access to care (สามารถเข้าถึงบริการที่เหมาะสมได้)”

ข้อดีของการเปิดกว้างคือทำให้โครงการได้โมเดลที่มีความหลากหลาย ซึ่งจากการดำเนินโครงการต่อเนื่องสองระยะทำให้ได้พื้นที่ต้นแบบกว่า 21 พื้นที่

ในช่วงแรกเราได้โมเดลในการทำงานมา ต่อมาเฟสสองเราได้โมเดลในการขยาย ซึ่งก่อให้เกิดการเคลื่อนเรื่องนโยบายและเคลื่อนหน่วยย่อยและเกิดเครือข่ายในการทำงาน

ขณะที่การดำเนินการระยะที่สอง โครงการเน้นไปที่การสร้างเครื่องมือ การสร้างความรอบรู้ นวัตกรรมต่าง ทั้งจากฝ่ายวิชาการและจากพื้นที่ แล้วส่งมอบให้กรมอนามัย ผลงานที่ได้จากดำเนินงานคือ การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการสื่อสารด้านการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ได้จัดทำ Mobile Application “Fun D” ลงทะเบียนแบบหน่วยงานภาครัฐในนามกรมอนามัย ใช้งานได้ทั้งระบบ IOS และAndroid และถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสุขภาพช่องปาก สามารถประเมินสภาวะสุขภาพ รวมถึงสุขภาพช่องปากของตนเองผ่านแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ ได้จัดทำสื่อให้ความรู้ผ่านสื่อออนไลน์ 3 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ แฟนเพจเฟซบุ๊ก และไลน์ ที่ชื่อฟันดีดี” “better teeth Thailand” นำเสนอข้อมูลข่าวสารในการให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากในรูปแบบ Single Infographic พร้อมบทความ และสื่อภาพเคลื่อนไหว วิดีโอคลิป และการรณรงค์สื่อประชาสัมพันธ์ต่าง เน้นเผยแพร่เนื้อหาความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ทั้งนี้เพื่อสร้างความตระหนักถึงการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่มีความเสี่ยงจะมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคต

โครงการยังสนับสนุนภาคีเครือข่ายในการพัฒนาองค์ความรู้และวิชาการ ในการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปากวัยทำงาน 3 เรื่อง ได้แก่

1) โครงการวิจัยความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากในประชากรไทยวัยทำงานยุค 4.0

จากการดำเนินงานเกิดเครื่องมือความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมีคุณสมบัติทางจิตวิทยาดี สามารถจำแนกบุคคลที่มีความแตกต่างทั้งภาวะสุขภาพช่องปาก และคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก จึงสามารถนาไปใช้ได้ทั้งในระดับรายบุคคล การให้บริการเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เฉพาะบริบทของบุคคลในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในการสำรวจประชากรในพื้นที่สู่การกำหนดนโยบายสนับสนุนความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปาก เพื่อการขับเคลื่อนชุมชน กำหนดนโยบายสาธารณะ หรือนโยบายสุขภาพช่องปากในระดับพื้นที่หรือประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาผู้รอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากในวัยทำงาน 

2) โครงการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากโดยใช้การตลาดเพื่อสังคมในกลุ่มวัยทำงาน

กรณีศึกษา อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ผลการศึกษาพบว่า วัยทำงานอายุ 18-25 ปี เป็นกลุ่มที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงมากกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ ทุกมิติ จึงเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นแกนนำสุขภาพช่องปากและควรได้รับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากก่อนกลุ่มอื่น โดยหวังผลลัพธ์ถึงบุคคลในครอบครัว บุตรและ/หรือหลานที่จะได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากคนกลุ่มนี้ต่อไป

3) การทบทวนการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางทันตกรรม (การตรวจสุขภาพช่องปาก) ในกลุ่มผู้ประกันตน

จากการทบทวนการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้เสนอให้สำนักงานประกันสังคมเพิ่มสิทธิประโยชน์การตรวจสุขภาพช่องปากในกลุ่มผู้ประกันตน และพัฒนาระบบงานสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในรูปแบบ platform ที่ใช้งานได้ทั้งทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เพื่อเป็นการใช้งานร่วมกันสำหรับคลินิกทันตกรรม ผู้ประกันตน และสำนักงานประกันสังคม

ขณะที่ด้านวิชาการ ในอดีตไม่ค่อยมีโครงการวิจัยช่องปากวัยทำงานมากนักในไทย ทางโครงการจึงนำงานวิจัยจากต่างประเทศมาปรับใช้ อีกส่วนเป็นข้อมูลของกรทำงานระดับพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนนโยบายประกันสังคมด้านสุขภาพช่องปากหลายเรื่อง

หนึ่งในประโยชน์ที่ได้จากโครงการ คือการขับเคลื่อนสิทธิในเรื่องการทำฟัน ข้อมูลที่เราศึกษา ทำให้เรามีโอกาสขับเคลื่อนให้ประกันสังคมเพิ่มค่าทำฟันจาก 600 บาท เป็น 900 บาท นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนาเรื่องการขยายรอยโรคในช่องปาก การพัฒนาสิทธิและนโยบายระดับพื้นที่ เช่น งานบุญปลอดน้ำอัดลมเรื่องการจัดสภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ เป็นต้น

หากมองข้อดีของโครงการนี้ ทำให้การพัฒนาการทำงานก้าวกระโดดเร็วมาก คิดว่าหลังจบเฟสนี้แล้ว ทิศทางการดำเนินงานระยต่อไป เราจะมุ่งเน้นที่การยกระดับกลุ่มเป้าหมายให้มี Self Care และAccess to care ได้มากขึ้นทพญ.ปิยดา เอ่ยทิ้งท้าย

ทำไมต้องสนใจสุขภาพช่องปากวัยทำงาน?

อย่างที่เราทราบกันดีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยต้องใช้งบประมาณค่ารักษาพยาบาลสูงคนเรื่อย ซึ่งหากเรายังปล่อยให้คนไทยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง หรือ NCDs ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือดต่าง มากขึ้น ก็จะยิ่งเผชิญปัญหานี้ ซึ่งโรคพวกนี้ความจริงเราสามารถป้องกันได้ แม้จะไม่ทั้งหมด ก็สามารถชะลอ ลดความรุนแรง ลดอัตราการตายหรือพิการได้ เพียงคนไทยลดพฤติกรรมความเสี่ยง ได้แก่ ลดหวาน มัน เค็ม หันมาออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค NCDs” พญ.ขจีรัตน์ ปรักเอโก  ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ (สำนัก 7) สสสเอ่ยถึงเป้าหมายการสนับสนุนโครงการนี้

161880018659

ส่วนใหญ่งานบริการสาธารณสุขด้านทันตกรรมในระบบจะเน้นไปที่การดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ เป็นหลัก แต่อีกกลุ่มที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือกลุ่มวัยทำงานอย่างเราๆ นี่แหละ คือต้องยอมรับว่าประเทศไทยเองมีข้อจำกัดเรื่องบุคลากรด้านบริการสาธารณสุขและงบประมาณของประเทศเราเองมีไม่เพียงพอที่จะมาดูแลได้ทั่วถึง อย่างไรก็ตามการพัฒนาสุขภาพตนเองของกลุ่มวัยทำงานจะส่งผลต่อกลุ่มอื่นๆที่ยังต้องอยู่ในภาวะพึ่งพา และยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่วัยสูงอายุที่มีคุณภาพ ดังนั้นการพัฒนาให้คนวัยทำงานมีศักยภาพและความสามารถในการดูแลสุขภาพของตนเองจึงเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญในการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส.ให้เหตุผล

ตอนนี้โรคเราเปลี่ยนแปลงเร็วมาก รวมถึงพฤติกรรมคนก็เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยน เราจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ นวัตกรรมหรือรูปแบบใหม่ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมการดำเนินงาน การมีส่วนสนับสนุนโครงการนี้ จึงเป็นการเชื่อมโยงเรื่องการดูแลอนามัยช่องปากให้ห่างจากปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับโรค NCDs ไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งแนวคิดนี้ตรงกับเป้าหมายการทำงานของ สสส.พอดี

เนื่องจาก สสส.เราขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ไตรพลัง นั่นคือ การเสริมสร้างความรู้ สร้างนวัตกรรม สร้างเครือข่าย สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การขับเคลื่อนในระดับนโยบายได้อย่างยั่งยืน

อีกบทบาทจึงเป็นแรงพลังเล็กๆ ที่ไปกระตุ้นให้วงล้อเคลื่อนเร็วขึ้น หรือเกิดนโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้นโดยเริ่มจากสนับสนุนให้เกิดต้นแบบหรือโครงการนำร่อง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญการจุดประกายให้บุคลากรทางการแพทย์ เช่น ทันตแพทย์ ทันตบุคลากรและแพทย์ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก เหล่านี้เริ่มให้ความตระหนักถึงการทำงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปากแก่ประชาชน ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานในเชิงรุก

เรามองว่าจะทำอย่างไรให้เกิดรูปแบบการทำงานร่วมกันแบบเครือข่ายโดยใช้แนวคิดการพัฒนา node การดูแลสุขภาพ มุ่งเน้นงานในระดับปฐมภูมิ โดยการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพในช่องปากกลุ่มวัยทำงานที่ใช้สิทธิประกันสังคม  และผู้ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวม 26 พื้นที่นำร่อง เช่น สระบุรี สมุทรปราการ ระยอง ชลบุรี ขอนแก่น อุดร หนองคาย เป็นต้น สำหรับสถานประกอบการหรือโรงงานที่เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 39 แห่ง เกิดนโยบายการดูแลสุขภาพช่องวัยทำงานที่อยู่ในสถานประกอบ ส่งเสริมให้พนักงานสามารถดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง (Self Care) และเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพช่องปาก (Access to Care) ผ่านกิจกรรมต่างๆของโครงการ โดยมีวัยทำงานได้รับบริการเชิงรุกราว 10,000 คน และกว่าร้อยละ 50 ได้รับบริการทันตกรรมตามระดับความเสี่ยง จากหน่วยบริการร่วมในเครือข่ายกว่า 58 แห่ง ที่สำคัญยังหวังว่าจะเกิดรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างงานบริการที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น คลินิกโรคเบาหวาน กับงานทันตกรรม เมื่อพัฒนาจากนวัตกรรมก็สามารถจะถอดเป็นนโยบาย หรือเป็นคู่มือได้ ซึ่งพอทำโครงการนี้แล้วก็ได้เห็นว่า จำเป็นต้องมีองค์ประกอบใดบ้าง เนื่องจากเราต้องการสร้างโมเดลให้ภาครัฐหรือเอกชนนำไปใช้และทำได้จริงพญ.ขจีรัตน์กล่าว

  161880034132

ปฏิบัติการสร้างฟันดีที่ทำงาน

ตอนที่ทำระยะที่หนึ่งยังเป็นการลองผิดลองถูกอยู่ สถานประกอบการที่เราเลือกมา 6 แห่งมี 5 แห่งที่เลือกไม่ทำต่อ เพราะบางทีก็มองว่าเบียดเบียนเวลาเขา ตอนนั้นทำให้เราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ทพญ.เกศยา ทรัพย์สมพล โรงพยาบาลระยอง เล่าถึงการทำงานระดับพื้นที่จังหวัดระยอง โครงการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานทันตสาธารณสุข ระยะที่ 2 ทดลองใช้และปรับปรุงระบบ และระยะที่ 3 ติดตามและประเมินผล

ในผลการดำเนินโครงการ พบรูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบไปด้วย 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับสถานประกอบการ กิจกรรมสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปาก กิจกรรมการให้ทันตสุขศึกษา และกิจกรรมการส่งต่อการรับบริการ ภายหลังใช้วิธีที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับทางสถานประกอบการคือ การใช้ความสัมพันธ์เดิมที่ดี และการใช้วิธีเพื่อนบอกเพื่อน การตรวจช่องปากด้วยกล้องส่องปากแบบดิจิตอล และการย้อมสีฟันทำให้พนักงาน ตระหนักถึงสภาวะในช่องปากเพิ่มมากขึ้น

ก่อนการจัดกิจกรรมรณรงค์ เราให้เขาตอบคำถาม สิ่งที่น่าตกใจคือ เขาไม่รู้คำตอบเยอะมาก ทำให้เรารู้ว่าเขามีความรู้ค่อนข้างน้อย แม้แต่พฤติกรรมการแปรงฟัน ส่วนใหญ่ไม่ถูกวิธี แม้จะแปรงวันละสองครั้งแต่ก็ไม่ได้คุณภาพ ไม่เคยใช้ไหมขัดฟันเลย แต่หลังดำเนินโครงการพนักงานหลายคนมีสภาวะฟันผุสภาวะปริทันต์น้อยลง และการติดสีย้อมฟันของพนักงานลดลง ที่สำคัญพนักงานมีการไปรับบริการทันตกรรมเพิ่มขึ้น จึงมองว่าต้องเริ่มจากทำให้เขาเห็นก่อน ซึ่งเราเอาโมเดลพื้นที่อื่นที่ประสบความสำเร็จมาลองปรับใช้ ในแง่คนทำงาน สิ่งที่ได้เห็นอีกอย่างคือ ทัศนคติต่อผู้ให้บริการสาธารณสุขภาครัฐที่ดีขึ้นมีบริษัทหนึ่ง ฝ่ายHR เขาไม่เคยคิดมารับบริการภาครัฐ แล้วพอเราไปทำกิจกรรม เขาก็จะรู้สึกประทับใจทพญ.เกศยากล่าว

161880070390

เรือนจำฟัน(ไม่)ผุ

เมื่อก่อนเราซ่อมตลอด แต่งานเราไม่เคยลดลงเลยศิริรัตน์ ปัจฉิมกุล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา หนึ่งในเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการนี้ เดิมเธอเป็นหนึ่งในทีมจิตอาสาของมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เข้าไปให้บริการด้านทันตกรรมในเรือนจำจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่สิ่งที่ศิริรัตน์พบคือ 5 ปีที่ผ่านมากลับไม่สามารถให้บริการผู้ต้องขังได้ครบร้อย

“ถามว่าผู้ต้องขังมีฟันผุเยอะไหม... โอ้โห...เรียกได้ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ใน 3,000 คนเลยทีเดียว พอเข้าไปเราก็ต้องรักษาเรื่องเร่งด่วนก่อน แต่การทำทันตกรรมด้านอื่น ๆ เช่นรักษารากฟัน หรือการรักษาที่ซับซ้อนต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ไม่สามารถทำได้ จะให้มาที่โรงพยาบาลก็มีข้อจำกัด เพราะเขาผู้ต้องขังจึงยากที่เขาจะออกมารับบริการภายนอกได้”

นอกจากนี้ ในเรือนจำมักมีผู้ต้องขังหมุนเวียนตลอดเวลา เมื่อคนเก่าออกไป คนใหม่เข้ามา ทำให้การบริการเรื่องฟันของเธอไม่เคยลด

เราเริ่มจากพัฒนาแกนนำคนข้างใน เพราะตั้งใจให้เขาสอนเพื่อนเขาเองได้ มองว่าเขารู้จักกัน คุยกันได้ง่ายกว่าเรา

แกนนำรุ่นแรกมีทั้งหมด 20 คน คัดเลือกจากแดนแรกรับและแดนบำบัด และต่อยอดสร้างแกนนำได้อีก 40 คน แต่ก็พลปัญหาคือ หลังอบรมเสร็จบางคนย้ายแดนบ้าง พ้นโทษบ้าง ทีมทำงานจึงคิดกิจกรรมพัฒนาสื่อการสอนสาธิตการแปรงฟันและการดูแลช่องปากบนสื่อในเรือนจำ

“หลังทำโครงการ ถามถึงผลตอบรับ เราให้แกนนำเขียนจดหมายบอกความรู้สึก ผู้ต้องขังหลายรายเขียนจดหมายบอกกับเราว่าตั้งแต่อยู่ข้างนอกเขาไม่สนใจเลย มาเรียนรู้เรื่องแปรงฟันใหม่ในเรือนจำนี่แหละ เขาดีใจที่ได้ทำ เพราะเห็นผล ถึงแม้เขาจะออกไปแล้ว เขาก็ไปถ่ายทอดให้ครอบครัวเขา จะไปสอนลูกต่อ บางคน” เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม