Montessori หลักสูตรทางเลือก

ที่เด็กมีโอกาส “เลือก-เรียนรู้-และค้นคว้า” ด้วยตัวเอง
ด้วยแรงบันดาลใจที่อยากหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูกสาว เมื่อครั้งที่ คุณสิริน เสาวนีย์ จิราธนันต์ และครอบครัวได้ย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยเมื่อหกปีก่อน เธอได้ตระเวนดูโรงเรียนที่มีการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) อยู่หลายแห่ง แต่ในเวลานั้นไม่มีโรงเรียนแห่งใดตอบโจทย์ในสิ่งที่เธอต้องการ
เมื่อไม่พบโรงเรียนที่ถูกใจ คุณสิรินจึงตัดสินใจก่อตั้งโรงเรียน Montessori Academy Bangkok International School (MABIS) นี้ขึ้นด้วยตัวเอง บนที่ดินของครอบครัวริมถนนบางนา-ตราด โดยมีเป้าหมายที่ต้องการสร้างให้เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ และเด็กๆ คนอื่น
“ดิฉันอยู่ที่ปักกิ่งก่อนย้ายกลับมา ที่นั่นลูกสาวเคยศึกษาอยู่ในโรงเรียนระบบมอนเตสซอรี ซึ่งเขาทำได้ดีมากสามารถสอนให้ลูกสื่อสารภาษาจีนได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน พอกลับมาเมืองไทย เราก็มีความกังวลว่า การอยู่ในประเทศไทยอาจยากที่จะประคองเขาให้ไปต่อด้านนี้ได้”
เธอเล่าว่าจากการสำรวจโรงเรียนหลายแห่ง พบว่าส่วนใหญ่มักเลือกที่จะตามใจลูกค้า โดยจัดการสอนแบบแยกชั้นเรียน ซึ่งค้านกับแนวทางของมอนเตสซอรีที่จะเน้นการเรียนแบบคละชั้นกัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของเด็กที่เรียนในระบบนี้ เนื่องจาก ดร.มอนเตสซอรี่ ผู้คิดค้นหลักสูตรนี้เมื่อ 100 ปีก่อน ได้สังเกตว่าเด็กวัยนี้มักมีพฤติกรรมชอบเลียนแบบหรือทำตามเพื่อน ซึ่งโดยธรรมชาติเขาจะเกิดแรงขับและผลักดันตัวเองให้ทำให้ได้เหมือนเพื่อน ส่งผลให้เด็กเกิดการพัฒนาศักยภาพตัวเอง
“การเรียนรู้แบบนี้ เด็กจะไม่เสียสุขภาพจิต เพราะแม้เขาจะเรียนช้ากว่าเพื่อน แต่เรามีคุณครูคอยไปประคองเด็กได้ โดยที่เขาไม่ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น เด็กจะไม่เสียศูนย์และเขาจะภูมิใจตัวเอง” เธอว่า
ธมน จิราธนันต์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน MABIS เปิดใจว่าเดิมพื้นที่จำนวนห้าไร่นี้เป็นพื้นที่บ้านหลังเก่าของครอบครัวเมื่อสี่สิบปีก่อน แต่หลังจากลูกๆ โตแล้วไปอยู่เมืองนอก จึงไปล่อยรกร้าง ซึ่งเมื่อช่วงเวลาที่ลูกกำลังหาโรงเรียนให้หลานๆ ก็เกิดแนวคิดใช้ที่ดินผืนนี้ สร้างเป็นโรงเรียนสำหรับหลานๆ
“โดยปกติดิฉันเป็นคนชอบเด็ก ก็อยากสร้างโรงเรียนที่ดี พอดีก็ได้รับการแนะนำคุณครูว่าเราควรสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น เราจึงตั้งใจสร้างให้ MABIS เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกหลานและเด็กที่สนใจ”
การเรียนแบบมอนเตสซอรี่จะให้อิสระเด็กได้เป็นผู้เลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน และเป็นระบบการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับความสนใจของเด็กโดยตรง มากกว่าตอบโจทย์สังคมหรือผู้ปกครองที่เน้นการสอบได้คะแนนสูง ซึ่งแตกต่างกับการเรียนหลักสูตรสามัญโดยทั่วไปที่จะมีการจัดตารางเรียน บทบาทหน้าที่ของเด็กถูกระบุไว้ชัดเจน เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณสิรินประทับใจการเรียนระบบนี้
“อย่างเช่นวันนี้ เขาอยากทำเลข หรือดนตรี หรือภาษาจีนเขาเลือกได้ ซึ่งคุณครูจะเป็นผู้ดูว่าทักษะในภาพรวมดีไหม เขาควรต้องฝึกตัวเองมากกว่านั้นหรือไม่ ซึ่งครูจะเป็นเพียงผู้แนะแนวหรือมีบทบาทในการปลูกเมล็ดพันธุ์ความสนใจให้กับเด็ก แต่คนที่ทำงานหนักที่สุดคือเด็ก” เธอย้ำ และว่า
จรูณรัตน์ สุวรรณภูสิทธิ์ Thai Director ผู้ดูแลหลักสูตรภาคภาษาไทยของ MABIS เสริมว่า จากประสบการณ์ทั้งในโรงเรียนระบบสามัญและระบบทางเลือกมาหลายแห่ง ทำให้เธอเห็นจุดเด่นของการเรียนแบบมอนเตสซอรีว่า จุดเด่นคือเด็กจะมีโอกาสเรียนรู้และค้นคว้าสิ่งที่เขาสนใจด้วยตัวเอง แตกต่างกับการเรียนที่เน้นการเรียนแบบท่องจำ ซึ่งจะไปบล็อกความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยเฉพาะเด็กในช่วงอนุบาลถึงเจ็ดขวบ เป็นวัยที่ดีที่สุดในการแสวงหาความรู้คือการเรียนรู้โดยสัมผัสและฝึกพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก
“เวลาเรียนอาจเห็นเด็กลุกเดินไปนั่นไปนี่ แต่จริงๆ แล้วเขามีเป้าหมายอยู่ เพราะในหลักสูตรจะกำหนดให้หมดทุกวิชา เพราะคุณครูจะคอยวางแผนให้เด็กมีโอกาสได้เรียนครบในสิ่งที่เขาควรได้รับครบตามหลักสูตรที่มอนเตสซอรี่กำหนดไว้”
สอดคล้องกับแนวคิดของสิรินที่อธิบายต่อว่า หากสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้นี้ไปตรงกับความสนใจของเขา ก็ส่งเสริมให้เขามีแรงขับเคลื่อนตัวเอง
“พอเด็กได้ทำงานที่เขาชอบหรือมีแรงจูงใจ เขาก็จะทำได้ดีและมีสมาธิ ที่สำคัญเด็กยังมีความสุขในการเรียนรู้”
“อีกสิ่งที่แตกต่างคือเด็กๆ ได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหรือในจักรวาลนี้มีความเชื่อมโยงกัน”
สิรินเอ่ยต่อว่า “การที่โรงเรียนทั่วไปจัดการเรียนเป็นรายวิชาแยกส่วนจะทำให้เด็กขาดความคิดเชื่อมโยง แต่มอนเตสซอรี่พยายามชี้ให้เห็นว่าทุกศาสตร์หรืองค์ความรู้ล้วนเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างในห้องเรียนคือการบูรณาการ”
นอกจากนี้การเรียนรู้แบบมอนเตสซอรีจะช่วยให้ผู้เรียนมีสมาธิจดต่อกับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้า ส่งผลให้เด็กที่เรียนมีสมาธิต่อการเรียนรู้ในภายหน้าได้ดียิ่งขึ้น ผ่านเครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ขณะเดียวกัน หลักสูตรยังส่งเสริมทักษะการใช้ชีวิตให้กับเด็ก โดยส่งเสริมให้คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีคุณภาพ และรู้จักเกื้อกูลกัน ผ่านกิจกรรมที่เรียกว่า Practical Life
ซึ่งที่ MABIS ได้นำรูปแบบการสอนแบบมอนเตสซอรีมาใช้อย่างสมบูรณ์และเต็มรูปแบบ และยังเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ในกรุงเทพฯ ที่ได้รับใบอนุญาตการสอนในระดับประถมจาก กระทรวงศึกษาธิการ อุปกรณ์การเรียนการสอนทุกชิ้นที่นี่นำเข้าจากต่างประเทศเพราะมองว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็ก
“ก่อนจะเปิดโรงเรียน ดิฉันเดินทางไปศึกษาหลายที่ทั่วโลก ทั้งวิจัยและสัมภาษณ์โรงเรียนเพื่อพยายามออกแบบหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่อื่นมีทั้งระบบแบ่งการเรียนครึ่งเช้าภาษาอังกฤษ บ่ายเป็นภาษาจีน หรือบางแห่งสลับเรียนทีละสองสัปดาห์ แต่เรามองว่า เราให้เต็มที่ไปเลย ครูสามคน สามภาษาอยู่ในห้องเรียนทั้งวัน เพราะเชื่อว่าการที่เด็กได้ยินภาษาทั้งสามภาษาทั้งวันมันใกล้ธรรมชาติในชีวิตประจำวันที่สุด เหมือนเวลาเขาอยู่บ้านที่คนในครอบครัวที่มีการสื่อสารหลายภาษา”
ชั้นเรียนของที่นี่ ในหนึ่งห้องจึงมีคุณครูถึงสามท่าน คือ คุณครูไทย จีน ภาษาอังกฤษ ซึ่งทุกคนต้องผ่านอบรมหลักสูตรมอนเตสซอรีมาทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการออกแบบห้องเรียนจัดในลักษณะที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้และเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก ตามหลักสูตรมอนเตสซอรีที่มีหมวดเด่นๆ 7 หมวด สำหรับเด็กเล็กและเด็กอนุบาล และสำหรับเด็กวัยประถม 11หมวด
เธอยอมรับว่า ในประเทศไทยมีน้อยคนที่จะรู้จักการเรียนแบบนี้ แต่สำหรับในต่างประเทศ ความนิยมในหลักสูตรนี้มีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นในฮ่องกงหากผู้ปกครองจะให้ลูกหลานเข้าเรียน อาจต้องรอ wait list ถึง 3 ปี ที่ญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกาคุณพ่อคุณแม่บางคนต้องจองโรงเรียนตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์แล้ว
แต่ด้วยคำบอกเล่าแบบปากต่อปาก และปัจจุบันหลักสูตรนี้เริ่มได้รับความสนใจในกลุ่มผู้ปกครองทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้โรงเรียน MABIS มีจำนวนนักเรียนเพิ่มต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อรองรับจำนวนนักเรียนในอนาคต
เธอให้ความเห็นว่า ผู้ปกครองที่อยากส่งลูกหลานเรียนในระบบนี้ ต้องมีความคิดเปิดกว้างในระดับหนึ่ง
“คุณพ่อแม่อาจยอมรับหากเขาไม่เก่งวิชาการ แต่เขามีพรสวรรค์ด้านอื่น เราก็ควรสนับสนุนเขา เพราะโลกนี้มีคนเก่งด้านอื่นๆ มากมาย”
“เราไม่ได้เน้นเรื่องทักษะทางวิชาการ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราสามารถเตรียมเขาให้ประสบความสำเร็จในก้าวต่อไปได้ เพราะโรงเรียนในต่างประเทศ มอนเตสซอรี่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณเกรด 6 มีน้อยแห่งที่จะมีระดับไฮสกูล ซึ่งผู้ปกครองจะส่งเด็กไปเข้าโรงเรียนหลักสูตรทั่วไปเช่นกัน ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กต้องมีการปรับตัว แต่เขาจะมีความสามารถในการปรับตัวได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไป และมีศักยภาพเรื่องนี้สูง”
สุดท้ายสิรินยังสรุปถึงผลตอบรับที่ผ่านมา จากการที่โรงเรียนอื่นๆ ที่ได้รับเด็กมอนเตสซอรี่เข้าเรียนส่วนใหญ่จะมีความยินดีและชื่นชม เพราะเด็กมีบุคลิกภาพความคิดเป็นของตัวเอง เป็นผู้นำ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่เด็กอื่นอาจไม่มี ซึ่งเกิดจาการที่เด็กได้มีโอกาสดิ้นรนคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองตลอดเวลา












