มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”

มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”

 

แต่กว่าปริกจะสร้างสุขได้เช่นปัจจุบันนี้ เส้นทางก็มิได้เรียบง่ายเหมือนโรยกลีบกุหลาบ ทว่าเคล็ดลับสร้างสุขของชาวปริก นั้นเกิดจากการสร้างกลไกสำคัญคือต้องใช้คนปริกเป็นศูนย์กลางในการพัฒนานั่นเอง

มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”  

ปริกวันวาน

หลังจากเทศบาลปริกได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลในปี 2542 กลับกลายเป็นช่วงที่ปริก “อัตคัด” ทุกๆ ประการ ไม่ว่ากำลังพล ทรัพยากร หรืองบประมาณ จนแทบไม่สามารถขยับตัวพัฒนาอะไรได้

“เรามีงบประมาณแค่ 8 ล้านบาท ตอนนั้นคิดแต่ว่าจะทำอะไรก็ยากมาก”สุริยา ยีขุน นายกเทศมนตรีตำบลปริกหลายสมัยซ้อน เปิดประเด็นเท้าความให้ฟังถึงเส้นทาง “กว่าจะเป็น มหาวิชชาลัยปริกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”  หรือ Prik University of Wisdom and Technology for Sustainable Development: Prik USD ที่พวกเขาต้องใช้เวลานับสิบปีกว่ามาถึงวันนี้

ผลพวงจากข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้การทำงานระยะแรกของเทศบาลมองเห็นแต่อุปสรรค ทว่าหลังจากลองเปลี่ยนมุมคิด หันมาวิเคราะห์ถึงแก่นปัญหาแท้จริง นายกฯ ปริกจึงเริ่มตกผลึกว่า แท้จริงแล้ว “อุปสรรค” ที่ว่าหาใช่ปัญหาเรื่องเงิน กำลังคน หรือทรัพยากรใดๆ แต่มันคือ “กรอบคิด” ที่กลายเป็นกับดักการพัฒนาคนในชุมชนต่างหาก

ดังนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนปริก ก็จำต้องเปลี่ยนวิธีคิดของ “คนปริก” ให้ได้เสียก่อน

นายกฯ สุริยา จึงเริ่มกระบวนการปรับชุดความคิดคนในชุมชนใหม่ ด้วยการสอดแทรกใส่ในทุกกิจกรรมที่อยู่ในกระบวนการส่งเสริมพัฒนาคนสู่ความเป็นพลเมือง

“ต้องถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านเลยเวลานั้น เป็นยุคการต่อสู้ระหว่างความคิดใหม่กับความคิดเก่า จากความเชื่อที่ว่า “รัฐ” มีหน้าที่ต้องทำให้ชุมชน เราพยายามปรับเปลี่ยนให้ชุมชนและรัฐทำงานร่วมกัน เวลาเดียวกันนั้นเราจึงนำหลักคิดจากศาสตร์ของพระราชา เรื่องการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนามาใช้ รวมถึงเรื่องระเบิดจากข้างใน โดยมีไตรพลังในชุมชน คือบุคลากรที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เพื่อนร่วมทีม และคนของแผ่นดิน”

ไตรพลังดังกล่าวกลายเป็นสามเสาหลัก ที่นำมาสู่กระบวนการทำงานร่วมกันบนพื้นฐานการให้หรือถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันมาจนทุกวันนี้

มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”

บทเรียนแรก วิชาขยะ!

ต่อมาในยุคการพัฒนาระลอกที่สอง นายกฯ สุริยาได้หยิบยกเรื่อง “ขยะ” มาเป็นโจทย์ให้คนปริกช่วยขับเคลื่อน เขายอมรับว่าช่วงแรกก็มีอุปสรรคปัญหาเพราะคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมายุ่งกับเรื่องขยะ!

เขาเอ่ยติดตลกเล็กๆ ว่ามุ่งทำเรื่องขยะจนโดนชาวบ้านสบประมาทว่า

“นายกฯ กับทีมงานชุดนี้ทำอะไรไม่เป็น ดีแต่ชวนชาวบ้านเก็บขยะ”

แต่สุดท้ายเรื่องขยะๆ นี่แหละได้กลายเป็นก้าวสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมคนในชุมชน

เมื่อปล่อยให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แนวคิดเรื่อง “การจัดการขยะฐานศูนย์ ตั้งแต่ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง” ที่เริ่มจากการ “ลงมือทำ” โดยผู้บริหารเทศบาลปริกเองกลายเป็นแบบอย่างให้ประชาชนในพื้นที่เดินตามจนทุกวันนี้ เทศบาลปริกสามารถลดจำนวนขยะจากที่มีถึงวันละ 8 ตัน เหลือเพียง 4 ตัน เท่านั้น

ผุสดี หมัดอาดำ รักษาการผู้อำนวยการกองสาธารณะสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลปริก เล่าเรื่องนี้ว่าแนวทางการจัดการขยะของปริก มีรากมาจากการนำหลักยุทธศาสตร์เทศบาลคาร์บอนต่ำมาใช้

เมื่อก่อนคนชอบพูดว่ามีมุสลิมที่ไหนมีขยะที่นั่น เราได้ยินคำพูดนี้มันทิ่มแทงใจคนบริหารอย่างเรามาก จึงมาคุยกันเรื่องขยะกัน โชคดีเราได้หน่วยวิชาการอย่าง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่เข้ามาเป็นภาคีให้ความรู้แก่ประชาชน เขาก็เริ่มเข้าใจและจัดการตนเอง”

ทุกวันนี้ชาวปริกเริ่มจากการจัดการขยะได้ตั้งแต่ต้นทาง คือในครัวเรือนตัวเอง ด้วยการคัดแยกขยะทุกชนิด ซึ่งเดิมขยะส่วนใหญ่ในชุมชนคือเศษอาหาร เศษผัก ชาวบ้านจะนำบางส่วนไปแปลงเป็นมูลค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดในรูปแบบต่างๆ เช่น น้ำหมัก แก๊สชีวภาพ เป็นต้น เมื่อคัดแยกขยะแล้ว ก็นำขยะที่กำจัดเองไม่ได้ไปสู่กิจกรรมธนาคารขยะ “มัสยิด” หลายแห่งของชุมชน อาทิ มัสยิดดาหรนอาหมัน ชุมชนร้านใน คือศูนย์จัดการขยะกลางทาง โดยเป็นศูนย์กลางที่คนทั้งชุมชนนำมาแยกและจัดการขยะรีไซเคิล ชุมชนมีการนำหลักศาสนามาใช้เป็นกลไกในการสร้างความร่วมมือที่ได้ผลดี ผ่านกิจกรรมที่เรียกว่า “กองขยะมีบุญ” ส่วนปลายทางของขยะที่ปริกจะมีศูนย์ ALC3 ที่รัฐบาลจัดตั้งรองรับเป็น

“คนในชุมชนเมื่อก่อนร้องขอถัง แต่พอเรามาร่วมกันคิดกับชุมชนว่าเรามาเป็นถนนปลอดถังกันเถอะ เริ่มจากหาถนนต้นแบบ โดยให้ชุมชนช่วยเราดูแล ปัจจุบันถนนในชุมชนส่วนใหญ่ปลอดถังเกือบ 80%

นอกจากขยะแล้ว ด้านสิ่งแวดล้อม เรามีพลังงานทางเลือก เช่นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เราตั้งเป้าจะมีศูนย์เรียนรู้พลังงาน 5 แหล่ง เกิดนวัตกรรมในพื้นที่โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตน้ำประปา แม้จะไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็ลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายลงมากเดือน 3-4 หมื่นบาท

มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”

จาก Head สู่ Heart โดย Hand

จากวิชาเรียนรู้เรื่องขยะ ยังขยายผลสู่การพัฒนาในด้านอื่นๆ ไปพร้อมๆ กับที่คนในชุมชนเองก็เริ่มเข้าใจบทบาทของตน

“เราเรียกว่ายุคปัญญาเบ่งบาน ที่ชาวบ้านต้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกงาน เราให้เขามีส่วนร่วมทั้งเรื่องจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มส่งเสริมอาชีพ ฯลฯ” นายกฯ สุริยาเอ่ย

เมื่อปริกมุ่งสร้างคน ให้เป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้น (Active Citizens) ด้วยการจัดกระบวนการเรียนรู้ในทุกกลุ่มคน มีระบบการบริหารจัดการตำบลที่มีการสร้างผู้นำ การวางแผนที่ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหา และจัดระบบการทำงานในลักษณะพหุภาคี เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งของประชาชนและสังคม

“หลังจากนั้น ยุคต่อมาเราได้รับการสนับสนุนจาก สสส. สำนัก 3 กลายเป็นยุคพลังพลเมืองที่มีเครือข่ายจากพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ รวมภาคต่างๆ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมในปริกเป็นตัวตั้ง” สุริยากล่าว

ปัจจุบันปริกมี 7 สังคมเกิดขึ้นในชุมชนที่ขับเคลื่อนด้วยทุนหลัก 43 ทุน และทุนหนุนเสริม 100 กว่าทุน ซึ่งทุนต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่เหล่านี้ ล้วนเกิดจากการบ่มเพาะเรียนรู้มาไม่น้อยกว่าสิบปี

“เชื่อแล้วหรือยังว่า เราไม่ได้มาง่ายๆ กว่าจะได้เป็นมหาวิชชาลัยปริกแห่งความยั่งยืน”

มารู้จัก “ปริก” ตำบลพลเมืองสุดแอคทีฟ จนได้รับการกล่าวถึงในฐานะของ “สังคมปริก สังคมแห่งความสุขและความพอเพียง”

ปริก Next Gen

ความเป็นพลเมืองของปริกไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ แต่ยังส่งต่อสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่โรงเรียนเทศบาลตำบลปริก โรงเรียนที่จะสร้างความเป็นพลเมือง หรือเรียกง่ายๆ ว่าผลิตปริกรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองโลกและมีทั้งภาวะผู้นำ ผ่านการจัดการเรียนการสอนปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม

ความแตกต่างคือนอกจากการเรียนตามหลักสูตร เด็กต้องได้รับการเรียนอีก 4 กลุ่มวิชาเพื่อการเป็นพลเมืองโลก ได้แก่ วิถีชุมชน สิ่งแวดล้อมศึกษา พลังงานและภัยพิบัติ เศรษฐกิจพอเพียง 4 หลักสูตรที่จะเสริมสร้างความเป็นคนดี

“ที่นี่กระบวนการจัดการเรียนการสอน เน้นพื้นฐานปฏิบัติเป็นหลัก (Active Learning) มากกว่า เพราะเด็กเรียนเขาเองก็เบื่อ นอกจากนี้มีโครงการกิจกรรมหนุนเสริมความเป็นพลเมืองดี เราปล่อยให้เขาค้นหาเอง จากโจทย์ที่เขาได้รับเขาต้องคิด วางแผน และค้นหา เรายังจัดเวทีให้เขาได้เสนอสิ่งที่เขาทำมา” อุษณีย์ เหล็มหมัน ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลตำบลปริกอธิบาย

แม้ไทยพุทธจะเป็นส่วนน้อย แต่โรงเรียนก็พยายามที่จะไม่ให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นส่วนน้อย เช่น มีการสอนทั้งวิชาอิสลามศึกษาและพุทธศาสนาควบคู่ เพื่อให้เขาเรียนรู้หลักธรรมและหลักปฏิบัติของศาสนาตนเอง  

“หลักสูตรเราจะเกิดจากความต้องการของชุมชนที่มาคิดร่วมกันว่าอยากให้ลูกหลานเขาเป็นอย่างไร เดินไปในทิศทางไหน ที่นี่มีชุมชนอิสลามและไทยพุทธ เรามีนักเรียนทั้งในเทศบาลและใกล้เคียง เป้าหมายของเราคือการสร้างความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความรู้มีคุณธรรมจริยธรรม เพราะเราเชื่อว่าเด็กต้องเป็นคนดีก่อนเก่ง และเขาต้องมีความสุข” อุษณีย์ กล่าว

 

สุขแบบปริก

ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า ปัจจุบันแผนสุขภาวะชุมชนสนับสนุนให้มีมหาวิชชาลัยจำนวน 4 แห่ง จากจุดเริ่มต้นของการบูรณาการการดูแลสุขภาพชุมชนโดยชุมชน ในการจัดงานครั้งนี้ได้เปิดตัว “มหาวิชชาลัยปริกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” มหาวิชชาลัยแห่งแรกในภาคใต้อย่างเป็นทางการ ซึ่งปัจจัยความสำเร็จนอกจากชุมชนจะมีทุนศักยภาพของพื้นที่แล้ว ยังมีสุดยอดองค์กรความรู้  สุดยอดผู้นำ ที่มีการลงมือปฏิบัติจริงจนเห็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะการจัดการสิ่งแวดล้อม การจัดการน้ำ พลังงาน ที่นี่มีความโดดเด่นมาก เรื่องต่อมาคือการแก้ปัญหาความยากจน และเรื่องสุขภาพ

“ปริกเป็นชุมชนที่พยายามทำทุกอย่างให้ชุมชนเรียนรู้การดูแลตนเอง โดยไม่เป็นภาระของใคร จะสังเกตว่าวิสัยทัศน์ผู้นำปรับเปลี่ยนตลอดเป็นช่วงๆ ยุคๆ ซึ่งการที่เขาเปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านี้ มันคือข้อเรียกร้องที่ช่วยให้ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการดูแลตนเอง อีกจุดเด่นของชุมชน การมีความศรัทธาในหลักศาสนาความดี มาเป็นจุดประกายเป็นการพัฒนาคนและพื้นที่” ดวงพรกล่าว