แผลเป็น.. รักษาได้ด้วยการผ่าตัด

ถ้าเอ่ยถึงคำว่า “แผล” เชื่อว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดกับตัวเอง เพราะนอกจากทิ้งรอยแผลไว้แล้ว ยังเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจให้กับหนุ่มสาวที่ประสบอยู่แน่นอน และถ้าหากเป็น รอยแผลที่นูนขึ้นมาทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วละก็ ยิ่งทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาเกิดความไม่มั่นใจแถมยังทำให้ตัวเองรู้สึกเสียบุคลิกอีกด้วย
นพ.สมศักดิ์ ศิริเทพทวี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า แผล เกิดจากการฉีกขาดทำลายหรือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อผิวหนัง โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. แผลเฉียบพลัน เกิดจากอุบัติเหตุ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือการผ่าตัด
2. แผลเรื้อรัง เช่น แผลเท้าเบาหวาน แผลเส้นเลือดขอด แผลเส้นเลือดแดงอุดตัน แผลกดทับ เป็นต้น
เมื่อเกิดแผลแล้วจะเกิดกระบวนการหายของแผลเอง โดยเริ่มต้นที่หลอดเลือดหดตัวมีเกล็ดเลือดมา อุดทำให้เลือดหยุดไหล เกิดกระบวนการอักเสบ ปวด บวม แดงร้อน มีการสร้างคอลลาเจนและเนื้อแผลจนแผลหาย สิ้นสุดที่การย่อยสลายคอลลาเจนส่วนเกิน และจัดเรียงเส้นใยคอลลาเจนให้เป็นระเบียบ เมื่อแผลหายร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ จึงเรียกว่า “แผลเป็น” แม้จะปรากฏว่าแผลหายแล้ว แต่กระบวนการสร้างและย่อยสลาย คอลลาเจนในแผลจะยังคงดำเนินไปเป็นเวลานานกว่า 12-18 เดือน จึงจะเข้าสู่สภาวะสมดุล แผลเป็นจึงเป็น สิ่งที่ต้องปรากฏเสมอเมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นที่ผิวหนัง ระยะแรกที่แผลหาย แผลเป็นจะมีลักษณะบวม แดง นูน แข็ง เมื่อระยะเวลาผ่านไปแผลเป็นจึงค่อยๆ มีสีซีด ราบลงและนุ่มลง ลักษณะของแผลเป็นที่ดีไม่มีปัญหา ได้แก่ แผลเป็นที่เป็นเส้นขีด ไม่กว้างหรือกว้างเล็กน้อย มีสีและผิวเรียบสม่ำเสมอใกล้เคียงกับผิวหนังโดยรอบ มีความนิ่มยืดหยุ่นดี ไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวหรือการทำงานของอวัยวะ
ในส่วนของแผลเป็นที่ก่อปัญหา ได้แก่ 1. มีสีเข้มหรือมีตะกอนฝุ่นผงตกค้างในแผล (traumatic tattoo) เช่น แผลถลอกครูดกับพื้นถนนหรือพื้นดิน 2. แผลเป็นมีขนาดกว้างปรากฏชัดเจน 3. แผลเป็นมีรอยฝีเย็บกว้างปรากฏคล้ายตีนตะขาบ 4. แผลเป็นนูน แบ่งเป็น แผลเป็นนูนแบบไฮเปอร์และแผลเป็นนูนแบบคีลอยด์ ซึ่งโตลุกลามรุนแรงกว่า 5. แผลเป็นมีผิวไม่เรียบ เช่น ตะปุ่มตะป่ำหรือเป็นรอยบุ๋ม 6. แผลเป็นหดรั้งขัดขวางการเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ หรืออวัยวะ มักพบในแผลจากอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ที่รุนแรง 7. แผลเป็นไม่คงตัวแตกเป็นแผลใหม่ซ้ำๆ พบในแผลขนาดใหญ่ที่ปล่อยให้หายเอง จะมีเพียงเซลล์ผิวหนังชั้นบางๆ มาปกคลุมและไม่ทนต่อแรงสัมผัสเสียดสีเมื่อใช้งาน การเกิดแผลใหม่ซ้ำๆ พบว่านำไปสู่การเกิดมะเร็งผิวหนังบนแผลนั้นๆ ได้
และในส่วนปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็นที่มีปัญหารุนแรง ได้แก่ 1. แผลที่เกิดบนตำแหน่งผิวหนังมีความตึงสูง เช่น หัวไหล่ กลางอก 2. สาเหตุการบาดเจ็บที่มีความรุนแรงมาก 3. เชื้อชาติและพันธุกรรม เช่น กลุ่มคนผิวสีพบแผลเป็นนูนได้บ่อยกว่าคนผิวขาว 4. การดูแลแผลไม่เหมาะสม มีการติดเชื้อและกระบวนการอักเสบเป็นเวลานาน 5. ระยะเวลาการหายของแผลที่นานเกินกว่าสามสัปดาห์ ซึ่งการรักษาและป้องกันสามารถทำได้โดย รักษาแบบไม่ผ่าตัด และ ผ่าตัดรักษาแผลเป็น คือ
1.การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
ใช้หลายๆ วิธีร่วมกันที่ดีที่สุด คือ การดูแลให้แผลหายใน1-2 สัปดาห์ เมื่อแผลหายแล้วควรใช้ ยาทาที่มีส่วนผสมของซิลิโคนเหลวหรือแผ่นแปะซิลิโคนป้องกันและลดแผลเป็นนูน ทาครีมกันแดดป้องกันแผลเป็นมีสีคล้ำจากการสัมผัสแสงUV การนวดเบาๆให้แผลเป็นนิ่ม การสวมผ้าหรือพันผ้าช่วยกดรัดแผลเป็น การใช้เลเซอร์ช่วยปรับให้แผลมีความนุ่ม มีสีสม่ำเสมอ การฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อควบคุมแผลเป็นนูน การกรอผิวในแผลเป็นที่ผิวไม่เรียบ การฉีดสารเติมเต็มในแผลเป็นบุ๋ม
2.การผ่าตัดรักษาแผลเป็น
วัตถุประสงค์และข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด ได้แก่ เพื่อลดความกว้างหรือความนูนของแผล เพื่อเปลี่ยนแนวแผลให้ขนานหรือกลมกลืนตามรอยย่นหรือรอยพับของผิวหนัง เพื่อแก้ไขแผลเป็นหดรั้ง เพื่อรักษาแผลเป็นไม่คงตัว เป็นต้น ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ของผลลัพธ์จากการรักษาผ่าตัดแต่ละครั้ง แผลเป็นนูนคีลอยด์พบว่าการผ่าตัดอย่างเดียวมีอุบัติการณ์เกิดใหม่สูง 80 - 100% ภายหลังการผ่าตัดจึงต้องควบคุมแผลเป็นด้วยวิธีอื่นๆดังกล่าวมาข้างต้นควบคู่กันไปเสมอ
ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลหัวเฉียว ให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษาโรคทางศัลยกรรมทั่วไปและศัลยกรรมเฉพาะทาง โดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดทางศัลยกรรมที่มีประสบการณ์ อีกทั้งยังมีการผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งเป็นการผ่าตัดสมัยใหม่ที่ช่วยให้แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว ทั้งยังใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแผล ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น
นพ.สมศักดิ์ ศิริเทพทวี ศัลยแพทย์ตกแต่ง
(ภาพประกอบบทความ แผลเป็น.. รักษาได้ด้วยการผ่าตัด)











