เสียงสะท้อนจากนกหลงลม ความหวังของเด็กนอกระบบที่ต้องการโอกาส

เด็กแว้น...เด็กนอกระบบการศึกษา ไร้งานทำ...เด็กในศูนย์ฝึกฯ...กลุ่มพ่อแม่วัยใส...
พวกเขาเสมือนเด็กชายขอบที่มักถูกมองข้าม การให้ “โอกาส” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กเหล่านี้ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และก้าวข้ามความผิดพลาดอย่างมีสติ
บาดแผลและเสียงสะท้อนจากเด็กชายขอบ รวมถึงพลังเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ได้ถูกถ่ายทอดผ่านกิจกรรม “ThaiHealth Youth Solutions 2019” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ด้วยเห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางสังคมของเยาวชน ให้พวกเขาพร้อมลุยแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ และเปิดพื้นที่สื่อสารให้คนรุ่นใหม่ได้พูดคุยกับสังคม ทั้งการพัฒนากลุ่มที่ยังเผชิญปัญหา เพื่อให้สังคมมีส่วนในการช่วยเหลือ รวมถึงนำเสนอบทเรียนความสำเร็จที่พวกเขาลงมือทำเอง
สถานการณ์เด็กชายขอบ
ราว 1.3 ล้านคนในประเทศไทยคือจำนวนเด็กและเยาวชนวัย 15-24 ปีที่หลุดจากระบบการศึกษา กำลังเผชิญหน้าการว่างงาน นี่คือข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เมื่อปี 2017 ขณะที่องค์การยูนิเซฟประเทศไทย เพิ่งจะเปิดผลการศึกษาความยากจนหลายมิติในกลุ่มเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 14 ปี พบเรื่องน่ากังวลว่าจำนวน 1 ใน 5 หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ กำลังเผชิญกับความยากจน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาและสุขภาพจิต พบในเขตชนบทมากกว่าเขตเมือง และในภาคอีสานมากที่สุด แต่เมื่อจัดระดับความรุนแรงกลับพบว่าปัตตานีเป็นจังหวัดที่มีปัญหาสูงสุดเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยกาฬสินธุ์ นครพนม ตาก และนราธิวาส
ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สสส.) กล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของสถานการณ์ดังกล่าวว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 15-17 ปี กำลังเผชิญความยากจนในระดับที่รุนแรงที่สุดและหลุดออกจากระบบการศึกษากว่า 51.06 % เมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่น เมื่อความยากจนบวกกับความเป็นคนชายขอบทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ ถึงขั้นถูกกีดกันออกจากสังคม
พวกเขาเติบโตบนความขาดแคลน บ่อยครั้งสิทธิที่ควรได้รับกลับถูกละเลย ขาดโอกาสทางการศึกษา ขาดทักษะอาชีพ ส่งผลเสียทั้งระดับตัวบุคคล ชุมชน และสังคม การไม่มีรายได้ก็เท่ากับไม่มีการจับจ่ายนัก ไม่ได้ช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ไม่มีเงินออมในการสร้างความมั่นคงให้ชีวิต จึงมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในวังวนของยาเสพติด อาชญากรรม การตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งส่งผลต่อความเครียดและโรคซึมเศร้า
“คำว่าเด็กชายขอบก็คือกลุ่มเด็กที่สังคมละเลย มองด้วยอคติ และคิดว่าไม่มีทางจะดีไปมากกว่านี้ ชายขอบไม่ใช่เรื่องของพื้นที่แต่มันคือการถูกมองข้าม ถูกผลักออก และความเป็นคนตัวเล็กๆ ทำให้เสียงไม่ดังพอที่ใครจะได้ยิน จึงขาดโอกาสที่จะพัฒนาเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง สุดท้ายก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กฯ ให้นิยาม
ในส่วนของ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการ สสส. มองว่าปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นยังคงน่าเป็นห่วง จากข้อมูลกรมสุขภาพจิตที่ว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงถึง 44%นอกจากนี้การติดเชื้อเอชไอวี อุบัติเหตุทางถนน และปัญหายาเสพติด ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของการสูญเสีย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กชายขอบที่มีภาวะเปราะบางทั้งสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ
“เด็กทุกคนมีคุณค่า ไม่ว่าจะเคยก้าวพลาดด้วยเงื่อนไขครอบครัว เงื่อนไขชีวิตที่เลือกไม่ได้หรือไม่ได้มีทางเลือกที่ดีนัก เช่นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับเชื้อเอชไอวี ทำอย่างไรให้เขามีชีวิตที่ดี ไม่ถูกเลือกปฏิบัติและไม่ถูกรังเกียจจากสังคม รวมถึงไม่รังเกียจตัวเองด้วย บางครั้งคนรอบข้างนี่เองที่พลอยทำให้เขารังเกียจตัวเอง ถ้าขจัดอุปสรรคและเงื่อนไขนี้ได้ น้องๆ ก็คือคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ” ณัฐยา กล่าวเสริม
เสียงแห่งหวังของนกหลงลม
สำหรับเสียงสะท้อนของเยาวชนชายขอบมีการรวมตัวกันหลากหลายจาก 6 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ สหทัยมูลนิธิจากนครศรีธรรมราช สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ มูลนิธิภูมิพลังชุมชนไทย กลุ่มพลังโจ๋จากศูนย์สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแพร่ กลุ่มเยาวชนจากบ้านพิราบขาวชายแดนใต้ กลุ่มเยาวชนรักษ์ไทยพาวเวอร์ทีนจากเชียงใหม่ และสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยร่วมเรียนรู้และสร้างความร่วมมือกันผลักดันให้เกิดนโยบายใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาเอง
“พวกเราเปรียบเทียบตัวเองเป็นนกหลงลมที่บินหลงทิศหลงทาง จนวันหนึ่งได้เข้าไปอยู่ในกรงขังหรือในความเป็นจริงก็คือพวกเราโดนคดีอาญามาก่อน” ณัฐพงษ์ ราหุรักษ์ จากกลุ่มนกหลงลม ภายใต้มูลนิธิภูมิพลังชุมชนไทย ปูภูมิหลังของตนเองและเพื่อนๆ ในกลุ่ม
เป็นความจริงที่ว่า เมื่อเด็กได้รับการปล่อยตัวจากศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ พวกเขาไม่ได้รับโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ โลกข้างในมีทั้งโอกาสทางการศึกษาและการฝึกวิชาชีพ รวมทั้งมีการวางแผนเมื่อกลับสู่โลกภายนอก ทว่าเอาเข้าจริงแล้วชีวิตพวกเขาไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ว่าสักนิด ประวัติที่เคยถูกดำเนินคดียังคงติดตัว แม้ในทางกฏหมายจะต้องได้รับการลบประวัติหลังการพ้นโทษ ซึ่งก็เป็นตามนั้น เพียงแต่ความล่าช้าส่งผลให้ยืดระยะเวลาในการเริ่มชีวิตใหม่ไปกว่าครึ่งปี ความหนักใจนี้จึงตกไปอยู่กับหน่วยงานหรือผู้ประกอบการในการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่เคยก้าวพลาด
“ทุกครั้งสายตาที่มองมามันคือสายตาที่ตีตราและเต็มไปด้วยอคติ ผมเพียงต้องการสถานประกอบการหรือหน่วยงานให้โอกาสพวกเราได้มีงานทำ ให้โอกาสทางการศึกษา เพื่อให้พวกเราสามารถดูแลตัวเองและช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน” เสียงเรียกร้องจากนกตัวหนึ่ง
เด็กนอกระบบที่ต้องการโอกาส
การเรียนรู้อาจไม่จำเป็นต้องอยู่เพียงห้องสี่เหลี่ยม แต่การศึกษาในระบบก็จำเป็นไม่แพ้กัน เพราะนั่นเป็นเครื่องยืนยันความรับผิดชอบ และเป็นใบเบิกทางในอนาคต ขณะเดียวกันระบบการศึกษาก็สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ชัดเจน หลายครั้งที่เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ปัจจัยหนึ่งก็คือห้องเรียนหรือสถานศึกษาไม่เอื้ออำนวย อาจจะด้วยความยากจน สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่สภาพจิตใจ
มูฮำหมัด อุมะ กลุ่มเยาวชนบ้านพิราบขาวจากชายแดนใต้ เล่าว่า พวกเขาทำงานกับเด็กและเยาวชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะหลุดจากระบบหรือไม่ การสร้างอาชีพเป็นการแก้ปัญหาของเขา วันหนึ่งพวกเขาหลุดออกจากระบบการศึกษา ถูกมองว่าเป็นเด็กไม่มีประโยชน์ เหล่าพิราบขาวไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างศักยภาพที่เข้มแข็งให้ตัวเอง ด้วยการนำเอาศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ของชาวมลายูที่เรียกว่า “สีลัต” ช่วยปรับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง ทั้งยังได้อาชีพไม่ว่าจะโชว์หรือเป็นวิทยากรสอนศิลปะการต่อสู้นี้
“เรามักถูกมองเหมือนถุงดำเป็นวัตถุต้องสงสัยที่ต้องตรวจสอบ แต่ในทางกลับกันถูกดำถุงนี้ก็มีประโยชน์ใช้ใส่ขยะได้เช่นกัน” มูฮำหมัดบอกเล่า
กระบอกเสียงเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
ในฐานะรองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ โยธิน ทองพะวา มองว่า การสื่อสารและพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงคนรอบข้างก็สำคัญต่อความรู้สึกด้วย เสียงของทุกคนมีค่าและมีพลังมากในการจะก้าวอย่างมีอนาคต สภาเด็กฯจึงอาสาเชื่อมความร่วมมือเข้าด้วยกัน
“พูดหนึ่งคนเสียงอาจจะดังครับ แต่มันไม่มากพอ ถ้าเรารวมกันแล้วพูดพร้อมกัน เสียงนั้นจะเป็นพลังที่เข้มแข็ง แต่เราอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะว่าทุกคนคือองค์ความรู้มหาศาลที่จะซับพอร์ต โดยมีสภาเป็นตัวกลางที่ส่งต่อไปยังข้างบน เพื่อทำให้ผู้ใหญ่เปิดพื้นที่ให้เรา”
การแก้ปัญหาต้องแก้จากข้างบนลงมา แต่จากการนำเสนอบทเรียนครั้งนี้ จะเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ระเบิดจากข้างในตัวเอง เมื่อเราแก้ปัญหาจากตัวเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือสังคมต้องยอมรับ หลายคนรับฟัง หลายคนเมินเฉย ไม่เฉพาะสสส.หรือสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ แต่เราทุกคนจำเป็นต้องช่วยกันส่งแรงกระเพื่อมนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเด็กขายขอบอีกเป็นล้านคน









