‘มะเขือเทศ’แตะขอบฟ้า ต้นแบบ‘เกษตรกรรุ่นใหม่’

ความแตกต่างคือความโดดเด่น แต่ความโดดเด่นจะไม่ใช่ความโดดเดี่ยวเมื่อพื้นที่ขนาด 1 ไร่ใน อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ที่ตั้งของฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่ที่ชื่อว่า“ฟาร์มมะเขือเทศแตะขอบฟ้า” ที่ไม่เพียงทำการเกษตรเพื่อประกอบอาชีพแต่ได้เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้และนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเกษตรดิจิทัลในมือเกษตรกรรุ่นใหม่
ปิยะ กิจประสงค์ เจ้าของฟาร์มมะเขือเทศแตะขอบฟ้า จ.สุพรรณบุรี เล่าว่า ต้องการทำการเกษตรที่แตกต่างจากคนอื่นและความแตกต่างที่ว่านี้ก็คือการทำเกษตรด้วย “พืชโรงเรือน”
หลังจากเรียนจบได้เริ่มชีวิตทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ 6 ปี รู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆ จึงมาทบทวนกับตัวเองเพราะจบการศึกษาด้านการเกษตรและที่บ้านก็มีพื้นที่อยู่บ้าง ประมาณ 1 ไร่ ประกอบกับมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งจึงสามารถนำมาสร้างโรงเรือนได้
แม้จะดูมีความพร้อมทุกอย่างแล้วแต่เรื่องที่ยากที่สุดคือ “จะปลูกอะไร” จากการศึกษาหลายด้านก็มาได้ข้อสรุปที่ “มะเขือเทศเชอรี่” เพราะการปลูกพืชในโรงเรือนนั้นมีข้อดีที่ผู้บริโภคจะมองเห็นความปลอดภัย ส่วนมะเขือเทศสามารถสร้างมูลค่าได้กับพื้นที่น้อยๆ
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ก็มีคำถามที่รอคำตอบอีกอย่าง คือประเทศไทยบัญญัติมะเขือเทศเป็นผักจึงต้องใช้ความพยายามเพื่อให้มะเขือเทศเป็นผลไม้ ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอยู่เหมือนกัน
ทั้งนี้ได้มีการนำมะเขือเทศเชอรี่มาปรับปรุงธาตุอาหารทำให้มะเขือเทศรับประทานได้เหมือนผลไม้ ซึ่งพืชโรงเรือนสามารถควบคุมคุณภาพได้ ควบคุมโรคได้ ควบคุมแมลงได้ รวมถึงควบคุมการใช้สารเคมี ทำให้คุณภาพผลผลิตออกมาดีสามารถส่งต่อถึงราคาได้
อย่างไรก็ตาม พืชโรงเรือนก็เหมือนพืชเกษตรอื่นๆ ที่ต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เบื้องต้นได้นำระบบน้ำหยดมาใช้เพื่อการให้น้ำมีความเหมาะสมไม่มากไปไม่น้อยไป ด้านคุณภาพน้ำได้รับความช่วยเหลือจาก“กรมชลประทาน” ในการให้ความรู้ ข้อมูล เกี่ยวกับคุณภาพน้ำเมื่อได้น้ำที่มีคุณภาพดีก็จะส่งผลให้ มะเขือเทศหวาน กรอบอร่อย
“เราจะให้น้ำวันละ 5-6 ครั้ง โดยใช้ไทม์เมอร์ตั้งเวลาอัตโนมัติ ซึ่งในอนาคตผมจะนำระบบ IoT(Internet of Things) สั่งการทุกอย่างผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนเข้ามาใช้ ซึ่งส่วนของคุณภาพน้ำผมก็ได้ทางกรมชลประทานเข้ามาตรวจสอบ และให้ความรู้เกี่ยวกับคุณภาพของน้ำ”
ปิยะ เล่าอีกว่า สำหรับช่องทางการขายหลักๆ คือหน้าฟาร์มเพราะว่าฟาร์มแตะขอบฟ้าเป็นฟาร์มท่องเที่ยวเชิงเกษตร และอาจจะมีการออกบุูธบ้างใหน่วยงานราชการตามเกษตรจังหวัด นอกจากนี้ มีการขายออนไลน์ด้วย ใช้เครื่องมือสำคัญคือ สมาร์ทโฟน ผ่านเฟซบุ๊ค-ไลน์ติดต่อสื่อสารผู้บริโภค
โดยเรื่องราวที่จะสื่อสารกับลูกค้าหลักๆ คือการปลูกมะเขือเทศของเน้นความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก ในช่วงแรกประมาณ 1 เดือน จะใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลง และเมื่อเริ่มติดผลจะไม่ใช้สารเคมีเลย หากจำเป็นจะเว้นระยะให้นานที่สุดเพื่อความปลอดภัยทำให้มะเขือเทศได้มาตรฐาน GAP เพราะถือว่าผู้บริโภคคือครอบครัว จะไม่เอาของไม่ดีมาขายเด็ดขาด
ปัจจุบัน พยายามพัฒนาฟาร์มแตะขอบฟ้าให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพซึ่งถ้ามีโอกาสจะนำความรู้ไปแบ่งปันคนอื่นๆ ด้วยการที่เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้เพราะผมคิดเสมอว่าถ้าเราจะไปคนเดียวเราจะได้เร็ว แต่ถ้าจะไปให้ไกลต้องไปด้วยกัน











